เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยจากรถเชฟโรเลต ช่วยให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยตลอดฤดูฝนนี้
ในฤดูฝนถนนหนทางมักเปียกลื่นและทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลง ผู้ขับขี่จึงควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่มักมาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับรถมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่มีในรถอเนกประสงค์เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์และรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด
ทราบหรือไม่ว่าการขับรถในขณะฝนตก ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่รถจะลื่นไถลออกนอกช่องจราจรมากกว่าการขับขี่รถในสภาพอากาศปกติมากถึง 4 เท่า จากผลการสำรวจของกองบริหารทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา อุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถออกนอกช่องจราจรนั้นมีมากกว่าครึ่งหนึ่ง (51 เปอร์เซ็นต์) ของอุบัติเหตุรถชนทั้งหมดที่มีผู้เสียชีวิต
ข่าวดีคือ ผลวิจัยจากสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนถนนทางหลวง (IIHS) พบว่า ระบบป้องกันการชน อย่าง ระบบช่วยเตือน เมื่อขับขี่รถออกนอกช่องจราจร (Chevrolet’s Lane Departure Warning) ช่วยลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากการชนได้เป็นอย่างมาก
ระบบช่วยเตือน เมื่อขับขี่รถออกนอกช่องจราจร ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการชนหากรถวิ่งออกนอกช่องจราจรโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ตั้งใจหรือไม่ได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ขณะขับขี่ด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ขึ้นไป ระบบฯ จะส่งสัญญาณเสียงหรือสัญญาณภาพเตือนทันที ที่รถข้ามเส้นแบ่งช่องทางจราจร
อีกหนึ่งระบบรักษาความปลอดภัยในรถเชฟโรเลตที่ช่วยเรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่และเมื่อฝนตกหนัก
ระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า ขณะขับขี่ด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ขึ้นไป กล้องที่ความคมชัดสูงซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณกระจกมองหลังที่ด้านหน้ารถยนต์ จะวิเคราะห์และประเมินระยะห่างของรถคันหน้าตลอดเวลาหากพบว่ารถของเราเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป ระบบฯจะส่งสัญญาณเสียงและสัญญาณภาพเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ เพื่อเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
จากการศึกษาของสถาบัน IIHS พบว่ารถยนต์ของจีเอ็ม ที่มีการติดตั้งระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้าและระบบหยุดรถยนต์ฉุกเฉินอัตโนมัติ ช่วยป้องกันการชนได้จริง ส่วนรถยนต์ที่ติดตั้งเพียงระบบป้องกันการชนด้านหน้า สามารถลดอัตราการชนด้านหน้าถึงด้านหลังได้ 17 เปอร์เซ็นต์ และสามารถลดอัตราการชนที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บด้านหน้าถึงด้านหลังรถได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
เมื่อทัศนวิสัยการมองเห็นผ่านกระจกด้านหน้าลดลง ทัศนวิสัยการมองเห็นผ่านกระจกด้านข้างและจุดอับสายตานั้นย่อมแย่ยิ่งกว่าและนี่คือสิ่งที่เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในการขับขี่เหล่านี้ช่วยให้เราขับขี่รถได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
- ระบบช่วยเตือนการจราจรที่ด้านหลังขณะถอยรถ ระบบเรดาร์จะตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ท้ายรถ เมื่อผู้ขับขี่กำลังถอยหลังออกจากที่จอดรถ จะมีสัญญานจะแจ้งเตือนเมื่อพบความเคลื่อนไหวบริเวณท้ายรถเช่น หากมีรถคันอื่นผ่านด้านหลังรถของคุณ สัญญาณภาพและเสียงจะดังขึ้น
- ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา ก็ใช้ระบบเรดาร์ในการตรวจจับรถที่เคลื่อนที่ในจุดหรือพื้นที่อับสายตา เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ “มอง” เห็นรถยนต์ด้านข้างที่เข้ามาประชิดโดยส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟLED-lit ที่จะแสดงขึ้นบนกระจกมองข้าง
ในขณะที่ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ลดลงยังคงเป็นปัญหาหลักในฤดูฝนเช่นเดียวกับปัญหาสภาพถนนเปียกลื่น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ระบบป้องกันการลื่นไถล และ
สภาวะถนนเปียกลื่นยิ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังโดยเฉพาะการขับขี่บนพื้นที่บริเวณภูเขา ซึ่งในกรณีนี้ผู้ขับควรจะมีเทคโนโลยีคอยช่วยเหลือได้แก่
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ขณะรถลงทางลาดชัน (HDC) ช่วยป้องกันไม่ให้รถลื่นไถลอย่างรวดเร็วขณะวิ่งลงทางลาดชัน โดยใช้ระบบเบรก ABS ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ คุณจึงมั่นใจเวลาขับรถลงทางลาดชัน
- ระบบช่วยการออกตัวขณะรถอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ช่วยป้องกันไม่ให้รถยนต์ไหลลง ขณะไต่ขึ้นเขาหรือบนทางลาดชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะออกรถ เมื่อผู้ขับยกเท้าออกจากเบรกไปยังคันเร่ง โดยระบบนี้จะช่วยเพิ่มความเสถียรให้รถยนต์ขณะรถอยู่บนทางลาดชัน จะช่วยพยุงรถไม่ให้ไหลและหน่วงเวลาไว้ 3 วินาที เพื่อป้องกันการไหลชนด้านหลัง
เมื่อผู้ขับขี่เดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้วรถยนต์เชฟโรเลตยังมี เซ็นเซอร์หน้าหลังช่วยในการนำรถเข้าจอด เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ขับสามารถจอดรถยนต์และสัญญาณจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อเข้าใกล้วัตถุ เพื่อช่วงหลีกเลี่ยงการชนสิ่งจากทางด้านหน้า หรือด้านหลัง ในขณะที่ใช้ความเร็วต่ำ
ท้ายที่สุดนี้ การขับขี่รถยนต์ในขณะฝนตกยังมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้
- ตรวจสอบสภาพของดอกยางและแรงดันลมยาง
- ตรวจสอบการใช้งานของที่ปัดน้ำฝน
- เปิดไฟหน้ารถ
- ขับรถด้วยความเร็วต่ำ
- หลีกเลี่ยงการขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขังเนื่องจากอาจทำให้เกิดการเหินน้ำได้
- งดใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติโดยเด็ดขาด
จับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองและตาจ้องมองอยู่ที่ถนนขณะขับขี่อยู่ตลอดเวลา