MotoGP™ สนามล่าสุดที่บุรีรัมย์ คือ อีกบทพิสูจน์ศักยภาพ ของยางตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’

ความมุ่งมั่นของ มิชลิน’ ที่มีต่อการสัญจรอย่างยั่งยืน

ในการแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก ‘โมโตจีพี’ สนาม 18 ของฤดูกาลปี 2567 ภายใต้ชื่อรายการ ‘พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ ประจำปี 2567’ (PT Grand Prix of Thailand 2024) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์  มิชลิน ได้พิสูจน์ศักยภาพของยางในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ ซึ่งมีประสิทธิภาพการยึดเกาะที่เหนือชั้นและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมสม่ำเสมอในทุกสภาวะ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนทั้งร้อนและฝน โดยมีผู้ชมในสนามตลอด 3 วัน กว่า 200,000 คน และผู้รับชมถ่ายทอดสดผ่านสื่อต่าง ๆ อีกกว่า 800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ร่วมเป็นสักขีพยาน

มร. ปิเอโร ทารามัสโซ่ (Piero Taramasso) ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต กลุ่มผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของมิชลิน เปิดเผยว่า “ด้วยสมรรถนะและข้อมูลการทำลายสถิติในการแข่งขันฤดูกาลที่ผ่านมา เราตกลงใจที่จะใช้ยางรูปแบบเดิม แต่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยโดยเพิ่มความแข็งแกร่งทนทานให้กับสูตรเนื้อยางล้อหน้า ทั้งยางเนื้อนิ่ม ยางเนื้อแข็งปานกลาง และยางเนื้อแข็ง รวมทั้งเสริมโครงสร้างภายในของยางเนื้อแข็งให้แกร่งทนยิ่งขึ้น”

ศักยภาพที่โดดเด่นของยางจากมิชลิน ประกอบกับทีมผู้เชี่ยวชาญประจำสนามแข่งของมิชลินที่มีทักษะและประสบการณ์สูง ส่งผลให้การแข่งขันสนุกเข้มข้น เร้าใจ และปลอดภัย  มิชลิน…ในฐานะผู้สนับสนุนยางสำหรับการแข่งขัน ‘โมโตจีพี’ อย่างเป็นทางการ…ได้จัดเตรียมยางในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ ทั้งยาง ‘พาวเวอร์ สลิค’ สำหรับพื้นแห้ง และ ยาง ‘พาวเวอร์ เรน’ สำหรับพื้นเปียก รวมทั้งสิ้น 1,100 เส้นไว้สำหรับการแข่งขันแต่ละสนามในฤดูกาลนี้  ขณะที่ทีมผู้เชี่ยวชาญประจำสนามแข่งของมิชลินรวม 25 ราย ซึ่งประกอบด้วยนักพัฒนาผลิตภัณฑ์, ช่างเทคนิค, ช่างประกอบติดตั้งยาง, ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ประสานงาน, เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่สื่อสารการตลาด จะจัดแบ่งกลุ่มออกประจำการทุกสนามแข่งเพื่อเก็บข้อมูลยาง ตรวจสอบ วิเคราะห์ ให้คำแนะนำ และเผยแพร่ข่าวสารต่าง ๆ

สำหรับมิชลิน กีฬามอเตอร์สปอร์ตเป็น “ตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรม” ภายใต้ 2 แนวคิดหลัก คือ We Race for Change ซึ่งชูสนามแข่งเป็นห้องปฏิบัติการพัฒนายางให้มีสมรรถนะยาวนานเหนือกว่าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ From Track to Street ซึ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่การใช้งานในชีวิตประจำวันเพื่อนำเสนอโซลูชั่นด้านยางที่เป็นประโยชน์ในวงกว้าง ตลอดจนเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเพลิดเพลินและปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไป ทั้งนี้ ยางในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ ซึ่งนำเทคโนโลยีจาก ‘โมโตจีพี’ มาพัฒนาต่อยอดสำหรับใช้งานบนท้องถนน ได้แก่ ‘มิชลิน พาวเวอร์ 5’ (MICHELIN Power 5), ‘มิชลิน พาวเวอร์ คัพ 2’ (MICHELIN Power Cup 2) และ ‘มิชลิน พาวเวอร์ คัพ อีโว’ (MICHELIN Power Cup EVO)

ก่อนที่ศึกโมโตจีพีรายการ ‘พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ ประจำปี 2567’ จะจบลง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ยังได้รับการประกาศยืนยันให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ‘โมโตจีพี’ สนามเปิดฤดูกาลและเป็นสนามทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล (Pre-Season Test) ในปี 2568 และปี 2569 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตของไทยและครั้งแรกในรอบกว่า 25 ปีที่การแข่งขันสนามเปิดฤดูกาลจัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อนึ่ง ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก ‘โมโตจีพี’  โดยมีฐานแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่แข็งแกร่งและมีจำนวนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวนหลายล้านคนบนท้องถนน อีกทั้งสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ยังเป็นสนามแข่งรถที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ ‘เอฟไอเอ็ม เกรด เอ’ (FIM Grade A) จากสหพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ (FIM) ให้ใช้เป็นสนามแข่ง ‘โมโตจีพี’ อย่างเป็นทางการ โดยสนามแห่งนี้เป็นสนามแข่งระยะทาง 4,554 เมตร บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ และสามารถบรรจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน