เอ็มจี ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เดินหน้าเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทย
ในงานสัมมนา “EVolution of Automotive” ผลักดัน “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” สู่ทางเลือกใหม่ในการยกระดับคุณภาพชีวิต
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองวิเคราะห์ความพร้อมของประเทศไทยต่อการพัฒนาและยกระดับการใช้ “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” (EV) ให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นกับงานสัมมนา “EVolution of Automotive” เพื่อนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในทุกมิติโดย 7 ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งมาร่วมสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางความเป็นไปได้ และความคืบหน้าในการขับเคลื่อนประเทศไทยของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นไปอีกขั้น
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันประชาคมโลกให้ความสำคัญกับการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกโดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะตระหนักถึงคุณภาพชีวิตควบคู่กับความต้องการลดภาวะมลพิษในระยะยาว เนื่องจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จึงไม่มีไอเสีย พร้อมการทำงานของมอเตอร์ที่เงียบจึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียง อีกทั้งยังเป็นพาหนะที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศจึงช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมไปถึงลดมลภาวะฝุ่นพิษในอากาศได้เป็นอย่างดี โดยรัฐบาลในหลายประเทศต่างเริ่มมีมาตรการส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง ซึ่งในปีที่ผ่านมาทั่วโลกมียอดจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าสูงถึงกว่า 1.26 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 74 % จากปี ค.ศ. 2017 นอกจากนี้ยังมีการประมาณการว่าในปี ค.ศ. 2020 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกว่า 20 ล้านคัน”
“สำหรับประเทศไทย เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสำหรับขับเคลื่อนรถยนต์ จากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิมๆ สู่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle – HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle – PHEV) และกำลังก้าวสู่การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า100% (Electric Vehicle – EV) ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการสนับสนุนของภาครัฐซึ่งมีนโยบายและแผนขับเคลื่อนด้านพลังงานที่จูงใจต่อภาคผู้ผลิต อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลงทุนของ BOI นอกจากนี้ เรายังเห็นถึง การขยายตัวของสถานีชาร์จ (EV Charger) ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อรองรับการขยายตัวของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการสร้างระบบนิเวศของตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานทางเลือกดังกล่าว การสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถก้าวผ่านข้อจำกัดและพร้อมที่จะยอมรับและปรับเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับวิวัฒนาการของรถยนต์จึงเป็นสิ่งจำเป็น เอ็มจี จึงจัดกิจกรรมสัมมนาครั้งพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “EVolution of Automotive” เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ที่ครบทุกมิติ มีความรอบด้านของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทิศทาง โอกาส และความเป็นไปได้ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก 7 ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากแวดวงทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองวิเคราะห์ความพร้อมของประเทศไทยต่อการพัฒนาและยกระดับการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
ตัวแทนจากภาครัฐ
- คุณศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
- ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สายงานกิจการพิเศษ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
- คุณอดิศักดิ์ โรหิตะศุน ผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์
ตัวแทนจากภาคเอกชน
- ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
- คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
- มร. ผู่ จินฮวน ( Pu Jinhuan) หัวหน้าวิศวกร (Chief Engineer) แผนก Project Operation, PM Section – EV Platform, SAIC Motor Corporation
- มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
“สำหรับ เอ็มจี เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 5 ปี และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปถึงลูกค้าคนไทย จนทำให้มียอดขายสะสมรวมแล้วกว่า 50,000 คัน ซึ่งบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอยนตรกรรมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วยการพัฒนารถยนต์ตาม 4 วิสัยทัศน์หลักของ SAIC Motor Corporation ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มจี ในประเทศไทย ประกอบด้วย การพัฒนารถยนต์ให้มีการเชื่อมต่ออัจฉริยะมากยิ่งขึ้น (Intelligence connectivity) การพัฒนารถซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electrification)
การแบ่งปันรถยนต์ในการใช้งานร่วมกัน (Car Sharing) และการพัฒนารถยนต์สำหรับตลาดในระดับสากล (Globalization) โดยในส่วนของการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้น ปัจจุบัน SAIC ได้แนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิง (FCV) สู่ตลาดในประเทศจีนและทั่วโลกแล้วกว่า 20 รุ่น โดยในส่วนประเทศไทย เอ็มจี มีแผนแนะนำรถยนต์ “MG ZS EV” ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นในแบบฉบับรถยนต์ SUV พร้อมระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART ที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่สู่ตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวเสริมในตอนท้าย
สรุปประเด็นจากงานสัมมนา “EVolution of Automotive”
ช่วงที่ 1 ภาครัฐ – Government
คุณศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเริ่มต้นเพื่อเข้าถึงการเสวนา เรื่อง Evolution of Automotive
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีนโยบาย 4.0 เพราะสภาวะแวดล้อมของประเทศไทยมีปัจจัยอย่าง ราคาน้ำมันที่ไม่แน่นอนหรือการใช้พลังงานหรือเชื้อเพลิงที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างล่าสุดเกิดวิกฤติ PM 2.5 ซึ่งกระทรวงได้มีมาตรการการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทน โดยการผลักดันโดยนโยบายการพัฒนารถยนต์ในอนาคตว่าจะนำพลังงานทดแทนมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่เห็นได้ชัด คือ พลังงานไฟฟ้าหรือแผนการพัฒนารถยนต์ระบบไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) ซึ่งตั้งไว้ที่ 25% ของจำนวนรถในอีก 10 ปีข้างหน้า และทางภาครัฐได้มีการผลักดันความต้องการของตลาดในประเทศ (demand) และสิทธิประโยชน์ทั้งหลาย (supply) และปัจจัยที่สำคัญต่างๆ ในการผลิตรถยนต์ (element) อย่างชิ้นส่วนรถยนต์สนามทดสอบ ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่และอื่นๆ
มุมมองและทิศทางที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับเรื่องการใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้า อาทิ
- จะทำอย่างไรให้รถยนต์ระบบไฟฟ้าเป็นทางเลือกของผู้บริโภคมากขึ้นเป็น “Eco Electric Vehicle” ที่ประหยัด ปลอดภัยและคุ้มค่า
- การปรับปรุงข้อมูลข่าวสารและรณรงค์การใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้าโดยทำอีโค่สติ๊กเกอร์ (Eco Sticker) เพื่อรองรับการใช้น้ำมันระบบดีเซล
- จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยยังคงสถานะเป็นศูนย์การประกอบรถยนต์ Next Generation เมื่อมาถึง EV เพราะเดิมประเทศไทยถือว่าเป็น Detroit of Asia ในการประกอบรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ยังได้มีการส่งเสริมการลงทุนในภาครัฐ โดยจะมีการเปิดให้ภาครัฐทุกหน่วยซื้อรถยนต์ระบบไฟฟ้าไปใช้เพื่อทำให้รถยนต์ EV ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น รวมไปถึงการปรึกษากับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าจะมีการบริหารจัดการแบตเตอรี่อย่างไรเพื่อไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ดร. เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สายงานกิจการพิเศษ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กล่าวถึงนโยบายการสนับสนุนของรถยนต์ไฟฟ้าของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติไว้ว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. มีหน้าที่สร้างขีดความสามารถในการวิเคราะห์และทดสอบศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างยิ่ง คือ การวิจัยเพื่อพัฒนาและอัพเดทเทรนด์หรือกระแสในตลาด พร้อมทั้งพัฒนาคนให้มีองค์ความรู้พร้อมรับเทคโนโลยีดังกล่าว หลักๆ คือ จะทดสอบอย่างไร และรูปแบบไหนถึงจะเกิดประสิทธิผลมากที่สุดเพื่อให้ได้มาตรฐาน
สำหรับเทรนด์และแนวโน้มในประเทศไทยนั้น แน่นอนว่าเมื่อ EV (Electric Vehicle) เข้าตลาด นวัตกรรมรถยนต์ที่กำลังจะตามมาคือ AV (Automation Vehicle) โดยเทรนด์รถในปี พ.ศ. 2562 มีหลักๆ ทั้งหมด 6 เทรนด์ด้วยกันคือ
- การติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย (Safety Sensor)
- คอมเพล็กซ์ทรานสปอร์ตเทชั่น (Complex Transportations) หรือ Mobility is going ‘as-a-service’
- รถยนต์ระบบไฟฟ้า (Electrification)
- การเชื่อมต่อ (Connectivity) หรือที่เรียกว่า V2X (Vehicle-to-everything)
- การเก็บข้อมูล (information storage)
- การแชร์รถยนต์ หรือ Car Sharing
คุณอดิศักดิ์ โรหิตะศุน ผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึง สถานการณ์ทั่วทั้งโลก และประเทศไทย
ที่มีต่อการพัฒนารถยนต์ระบบไฟฟ้าว่า “วิวัฒนาการของยานยนต์นั้นกำลังถูกท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือที่ถูกเรียกกันว่าการดิสรัปชั่น (Disruption) ในภาครัฐนั้นก็มีนโยบายที่ออกมารองรับกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ รวมถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของสถาบันยานยนต์ สถาบันยานยนต์ ก็มีหน้าที่สนับสนุนเช่นเดียวกันดังที่ว่าประเทศไทยนั้นถือได้ว่าเป็นฐานผลิตยานยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในปัจจุบันนี้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 60 ปี ด้วยกันและเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาดิสรัปและท้าทาย วิธีแก้ปัญหาของคือ
- พัฒนาและคิดค้นระบบรถยนต์โดยใช้ระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทันสมัย โดยจะพัฒนา next generation automotive center ขึ้นมาเพื่อค้นหาว่ายานยนต์จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนได้บ้างและจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
- พัฒนาคนให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตได้
- ทดสอบมาตรฐานยานยนต์สมัยใหม่ พร้อมต่อยอดการวิจัยและพัฒนาในอนาคต ไม่มุ่งเน้นเฉพาะการผลิตอย่างเดียว แต่จะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และเทคโนโลยีควบคู่กันไป
อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี ค.ศ. 2030 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทย จะเป็นประเทศที่ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และจะเป็นสังคมที่เข้าสู่ประชากรสูงอายุมากถึง 30% ของประชากรไทยทั้งหมด นอกจากนี้ ระบบ Robots and Automations จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในประเทศไทย มีการพัฒนาเรื่อง 5G ให้รองรับอย่างทั่วถึง และทางภาครัฐจะพัฒนาเป็น E-Government เศรษฐกิจจะพลิกโฉมมาเป็น E-commerce มากขึ้น สังคมจะพัฒนาเป็นสังคมเมืองมากขึ้นเพื่อให้ไปถึง สมาร์ทซิตี้ (Smart City) โดยจะต้องมี สมาร์ทโมบิลิตี้ (Smart Mobility) ที่สามารถเข้าถึง ได้ง่าย (Accessible) เชื่อมต่อกัน (Connect) สะดวกสบายและปลอดภัย (Comfort & safety) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Clean & Efficiency) และคุ้มค่าในเรื่องของราคา (Affordable price) ซึ่งสิ่งที่จะมารองรับ Smart Mobility ดังกล่าวก็คือเทคโนโลยี ได้แก่ รถยนต์ระบบไฟฟ้า (E – Electrified) อย่างรถยนต์ EVs ที่ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีอัตราการผลิตถึง 53% (มากกว่ารถยนต์แบบสันดาปภายใน) ระบบอัตโนมัติ (A – Automated) ที่จะมีถึง 6 ระดับด้วยกัน ไล่จากระดับ 0 คือไม่อัตโนมัติจนถึงระดับ 5 คือควบคุมอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์แบบและในปี ค.ศ. 2030 คาดว่าจะสามารถพัฒนาระบบ autonomous ได้ในระดับที่ 3 ซึ่งเป็นระดับที่สามารถขับขี่ได้อัตโนมัติ ในระยะทางและระยะเวลาที่จำกัด อย่างเช่น การปล่อยมือบนทางด่วน และการเชื่อมโยง (C – Connected) ที่จะสามารถเชื่อมต่อ V2D หรือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ (Device) ต่างๆ V2P หรือการเชื่อมต่อกับคนที่เดินถนน V2V หรือการเชื่อมต่อระหว่างรถต่อรถ และ V2I หรือการเชื่อมต่อกับโครงสร้างต่างๆ โดยในปี ค.ศ. 2030 นั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาไปถึง V2X หรือการเชื่อมโยงที่สามารถเชื่อมต่อได้กับทุกสิ่ง สุดท้าย คือ เรื่อง แชร์ริ่ง (S – Shared) ที่จำแนกออกเป็น การแชร์กันขับ (Drive sharing) การอาศัยไปกับรถคนอื่น (Ride sharing) และระบบขนส่งสาธาระณะ (Mass transit) ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้ายังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีการพัฒนาไปในขั้นไหน
ปัจจุบัน เราอยู่ในกระบวนการของการสู้กับความท้าทายในปี ค.ศ. 2030 ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมคือ คน (Human Resource Development) ว่าเมื่อโลกมันเปลี่ยนไปเราควรจะปรับตัวอย่างไรให้เหมาะสม โดยหลักๆ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ตัวรถยนต์ระบบไฟฟ้าและการผลิต ที่ในอนาคตสังคมไทยจะขาดแคลนแรงงานมากขึ้น เรื่องของ Autonomous และ Robots จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มผลผลิตสู่ท้องตลาด ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องต่อยอดการศึกษาเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ใหม่แก่ประชาชนโดยทั่วเกี่ยวกับเรื่องตัวรถยนต์ระบบไฟฟ้ารวมถึงกระบวนการการผลิตรถยนต์ระบบไฟฟ้าอีกด้วย สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ทักษะด้าน Soft Skills ที่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเราได้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับพื้นฐานหลัก การดำเนินงาน เทคโนโลยีและแบตเตอรี่ของรถยนต์ระบบไฟฟ้า เป็นต้น ที่ศูนย์ EV Technology & Innovation Center
ช่วงที่ 2 – ภาคเอกชน
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวในมุมมองของผู้ขับขี่และผู้ที่ใช้งานรถไฟฟ้า EV ว่า
- ด้านความพร้อมของผู้ขับขี่เกี่ยวกับรถไฟฟ้านั้น ปัจจุบันรถไฟฟ้ามีหลากหลายขนาดของความจุไฟฟ้า ดังนั้นในฐานะผู้ขับขี่ต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ อาทิ รถที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ความจุไฟฟ้าน้อยเหมาะสมสำหรับใช้ขับขี่ระยะใกล้ อาทิ ภายในหมู่บ้าน หรือขับระหว่างบ้านเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดใกล้ๆ บ้าน หรือรถที่แบตเตอรี่ความจุใหญ่หน่อยก็สามารถขับในระยะทางที่ไกลขึ้น ซึ่งตรงนี้ถ้าผู้ขับขี่ทั่วไปต้องการใช้รถไฟฟ้าเป็นยานพาหนะก็ควรเลือกมองรถที่ขนาดแบตเตอรี่ใหญ่
- ด้านผู้ประกอบการรถยนต์ควรพัฒนารถยนต์ที่มีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งประสิทธิภาพในการวิ่งของรถยนต์ที่ต้องสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางอย่างน้อย 200-300 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ หนึ่งครั้ง
- ด้านการลงทุนพัฒนาสถานีชาร์จ ถึงแม้ในขณะนี้สถานีชาร์จยังน้อยอยู่แต่ถ้าในอนาคตกำลังมีการพัฒนาและติดตั้งหัวชาร์จเพิ่มมากขึ้น ผู้ขับขี่ที่ใช้งานคงวางใจได้ในระดับหนึ่ง
- ผู้ผลิตและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ต้องกลับมามองดูในเรื่องจากอะไหล่ชิ้นส่วนเพื่อประกอบรถยนต์และสำหรับซ่อมบำรุงในอนาคตด้วย เพราะถ้านวัตกรรมยานยนต์เดินเร็วจนผู้ผลิตอะไหล่ชิ้นส่วนไม่สามารถพัฒนาได้ทัน อันนี้อาจส่งผล เป็นปัญหาในอนาคต
คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA บอกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพัฒนาสถานีชาร์จไว้ดังนี้
- EA เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่พัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า EA Anywhere โดยมอบให้บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด เป็นผู้พัฒนาและก่อสร้างสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เชื้อเพลิงสำหรับพาหนะ ในอนาคตที่ประหยัดพลังงาน ไม่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันวางเป้าหมายติดตั้งสถานีชาร์จให้ครบ 1,000 สถานีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (โดย 1 สถานี มีหลายหัวชาร์จ) โดยปัจจุบันได้ติดตั้งไปแล้วประมาณ 200 สถานีในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญบางจังหวัด
- ในด้านของสถานีการชาร์จไฟฟ้านั้น ทาง EA Anywhere ได้แบ่งหัวชาร์จไฟฟ้าเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกมีกำลังอยู่ที่ 44KW หรือ Normal Charger โดยเฉลี่ยการชาร์จรถยนต์ขนาด 30kWh จะอยู่ที่ 24 ชั่วโมง และแบบ 150KW หรือ Super/Combo Charger โดยเฉลี่ยการชาร์จรถยนต์ขนาด 30kWh จะใช้เวลาชาร์จเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น โดยสามารถวิ่งได้ถึง 200-300 ตามสมรรถนะของรถยนต์
- นอกจากการเร่งในการก่อสร้างสถานีชาร์จแล้ว บริษัทฯ ยังพัฒนาในส่วนของ Application ที่เรียกว่า EA Anywhere App โดยผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการแจ้งเตือนถ้าประจุไฟฟ้าภายในรถยนต์มีกำลังสำรองเหลือน้อย ซึ่งผู้ขับขี่จะสามารถค้นหาสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้ที่สุด สถานีนั้นมีว่างอยู่กี่หัวจ่าย และเสามารถจองหัวจ่ายผ่าน Application ซึ่งยังพัฒนาต่อไปถึงด้านการจ่ายค่าไฟโดยสามารถจ่ายผ่านบัญชีธนาคารออนไลน์ หรือ Internet Banking ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน ผู้ที่ขับขี่รถไฟฟ้านำรถไปชาร์จที่สถานีจะเสียค่าชาร์จเฉลี่ยที่ประมาณ 50 บาท่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการชาร์จในรูปแบบปกติ แต่ถ้าในอนาคตมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ก็จะทำการศึกษาและกำหนดค่าชาร์จไฟอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจจะคิดตามหน่วยไฟที่แท้จริง เป็นต้น
มร. ผู่ จินฮวน หัวหน้าวิศวกร แผนก Project Operation Department PM Section EV Platform Chief Engineering, Shanghai E-Propulsion Auto Technology Co., Ltd เล่าถึงภาพรวมและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ SAIC ไว้ว่า
- SAIC นับเป็นบริษัทผู้พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยานยนต์ระดับโลก โดยปัจจุบัน SAIC จำหน่ายรถยนต์อยู่อันดับ 7 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของประเทศจีน โดยในปี ค.ศ. 2009 SAIC ลงทุนถึงกว่า 20,000 ล้านหยวนเพื่อจัดตั้งบริษัท SEAT เพื่อพัฒนานวัตกรรมรถยนต์ EV โดยโฟกัสอยู่ที่ 3 ประเด็นหลักได้แก่ แบตเตอรี่ 2. มอเตอร์ และ 3. แผงคอนโทรล/ระบบควบคุมไฟฟ้า
- โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี SAIC มีการเปิดตัวรถยนต์ EV ถึง 11 รุ่น และในปีนี้ SAIC เตรียมเปิดตัวรถ EV โฉมใหม่อย่าง ZS EV พร้อมๆ กันใน 20 ประเทศทั่วโลก
- SAIC มียอดขายรถ EV สะสมมากกว่า 200,000 คัน เฉพาะในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2018) SAIC มียอดการจำหน่ายรถ EV กว่า 100,000 คัน ซึ่งในประเทศจีนมีรถยนต์ EV (HEV | PHEV | EV) มากถึง 1 ล้านคัน และกว่า 760,000 คัน เป็นรถพลังงานไฟฟ้า (EV) เท่านั้น
- ในช่วง 10 ปี SAIC ในการพัฒนาในหลายมิติโดยเฉพาะ Hardware โดย Part หลักๆ เช่น ระบบส่งกำลัง ทาง SAIC จะเป็นผู้พัฒนาเอง นอกจากนี้ ยังร่วมกับ partner ระดับโลกทำการคิดค้นในส่วนต่างๆ อาทิ Bosch และในส่วนของ Software ของแบตเตอรี่ และมอเตอร์ ทาง SAIC เป็นผู้ดำเนินการและพัฒนาเองทั้งหมด
- จุดเด่นของรถ EV ของ SAIC มี 3 ประเด็น คือ
- ประสิทธิภาพสูง โดย รถ EV ของ SAIC จะใช้มอเตอร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นวงกลม ซึ่งรูปแบบสี่เหลี่ยมจะดีกว่ารูปแบบเดิมถึง 10-15% มีแรงดันสูงกว่า 400 โวลต์ (DC 400 Volt) นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี S-Pedal (Smart Pedal) ที่ออกแบบมาให้สามารถชาร์จไฟได้ขณะเร่งเครื่องหรือลดความเร็วของเครื่องยนต์ ทำให้ไม่สูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ เกิดเป็นพลังงานหมุนเวียนขณะขับขี่
- ความปลอดภัย รถ EV ของ SAIC ผ่านมาตรฐาน ISO 026262 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยระดับโลกที่ใช้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้ง ASIL หรือ Automotive Safety Integrity ในระดับ Level D ซึ่งเป็นระดับความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ ยังได้รับประกาศนียบัตร UL 2580 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดของแบตเตอรี่ โดยผ่านการทดสอบในด้านต่างๆ ถึง 8 ด้าน ทั้งการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า ภาวะฝุ่น การขีดข่วน แรงอัด การทนต่อการกัดกร่อนด้วยจากละอองน้ำเกลือ แช่น้ำ ไฟ การกระแทก เป็นต้น นอกจากนี้ รถ EV ของ SAIC ยังมีการปกป้องแบตเตอรี่แบบ 360 องศา (360 Degree Battery Shield) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี
- ความคุ้มค่า รถ EV ของ MG มีระบบส่งกำลังไฟที่มีประสิทธิภาพสูง และแบตเตอรี่ให้กำลังไฟที่มากกว่ารถยนต์ กลุ่มเดียวกัน ซึ่งนอกจากนี้ SAIC ยังได้ลงทุนด้านแบตเตอรี่ อะไหล่และชิ้นส่วน โดยการร่วมทุนกับผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีนและทำสัญญาการผลิตและจัดส่งกับซัพพลายเออร์ จึงมี Supply chain ที่ครบถ้วน ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงมั่นใจได้ว่า รถ EV ของ SAIC นั้นมีความปลอดภัยคุ้มค่าในทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความมั่นใจที่บริษัทฯ มีต่อรถยนต์ระบบไฟฟ้า ว่า
- พัฒนาการและเทคโนโลยีของรถยนต์ระบบไฟฟ้าทำมานานกว่า 100 ปี และก็มีการพัฒนาและอัพเดทออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เครื่องยนต์รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน แต่เมื่อเราได้ความสะดวกสบายจากรถยนต์นั้นก็นำมาซึ่งมลภาวะ ดังนั้น บริษัทฯ จึงนำแบตเตอรี่มาให้พลังงานกับรถยนต์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ มาพัฒนาอีกมากมาย ซึ่งจากมุมมองส่วนตัวคิดว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นสามารถเติบโตได้เร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์
- SAIC เริ่มศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพลังงานใหม่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 มาจนถึงทุกวันนี้ จึงมั่นใจได้ว่ารถยนต์ทุกรุ่นที่ออกขายสู่ตลาดในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะรุ่น EV นั้นมีเทคโนโลยีที่พร้อม ครบถ้วน และทันสมัย
- โอกาสสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังมาถึงแล้ว เหมือนในกรณีของสมารท์โฟนที่มีเทคโนโลยีเข้ามาดิสรัป จนสามารถพลิกโฉมของวงการของโทรศัพท์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ดังนั้น รถยนต์ EV ก็เช่นเดียวกัน
- รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ MG จะเข้าไทยในเดือนมิถุนายน 2562 และเพื่อลดความกังวลต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทาง MG จะร่วมมือกับ EA Anywhere และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการสร้างสถานีชาร์จ (Charging Stations) ให้ครอบคลุมและทั่วถึง โดยหวังว่าทุกคนจะอดใจรอผลงานดีๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและความทันสมัยจาก MG