“LAMBORGHINI LANZADOR” เผยโฉมในงาน Monterey Car Week

เปิดมิติใหม่ของคอนเซ็ปต์คาร์ GT พลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต ตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยจินตนาการยานยนต์สุดล้ำ

ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยโฉมคอนเซ็ปต์คาร์รุ่น Lanzador ณ งาน Monterey Car Week เพื่อแสดงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของแบรนด์ในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แห่งอนาคตเป็นรุ่นที่ 4 โดยคอนเซ็ปต์คาร์ Lanzador นำเสนอรถยนต์กลุ่ม GT ยกสูงพร้อมที่นั่งแบบ 2+2 ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวย มีเอกลักษณ์โดดเด่น และชูความเป็นเลิศทางเทคนิคพร้อมแนวคิดใหม่ล่าสุดในแง่สมรรถนะและประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ตามแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างเด่นชัด มอบภาพลักษณ์แนวสปอร์ตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในคลาสพร้อมประสิทธิภาพการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ

การนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สอดคล้องตามกลยุทธ์ “Direzione Cor Tauri” และแผนงานการลดคาร์บอนและเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าซึ่งได้ประกาศไว้เมื่อปี 2021 ของบริษัทซูเปอร์สปอร์ตคาร์สัญชาติอิตาลีแห่งนี้ โดยหลังจากนำเสนอ Revuelto[1] รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 เมื่อไม่นานมานี้ การเปิดพรีวิวรุ่น Lanzador ถือเป็นการเผยข้อมูลของรถยนต์ซีรีส์นี้ซึ่งจะเริ่มต้นผลิตในปี 2028 เป็นต้นไป “แนวทางการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ เสมือนการได้เปิดตัวรถยนต์เซกเมนต์ใหม่นั่นคือ Ultra GT ซึ่งจะมอบประสบการณ์การขับขี่ลัมโบร์กินีรูปแบบใหม่ที่ไร้คู่แข่ง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เราได้บุกเบิกพัฒนาขึ้น” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าว

คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ผสานสุดยอดสมรรถนะอันเป็นแบบฉบับของรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินี เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานขั้นสุด บวกกับคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน โดย Lanzador จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกใหม่แก่กลุ่มลูกค้าที่ “ชื่นชอบความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี” ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

นับเป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ได้ประกาศแผนการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูงในช่วงทศวรรษนี้ โดยจะยังรักษาหัวใจสำคัญและจิตวิญญาณของแบรนด์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งคอนเซ็ปต์คาร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นนี้จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Gran Turismo ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ตัวถังสวยงามอย่างน่าทึ่ง การออกแบบสัดส่วนรถใหม่ทั้งหมด และประสบการณ์การเดินทางแบบเหนือชั้นที่เพียบพร้อมด้วยระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่ล่าสุด ตลอดจนการออกแบบที่สวยงามซึ่งผสานสมรรถนะขั้นสูงระดับอัลตร้าของรถสปอร์ต Revuelto และความสามารถแบบอเนกประสงค์ของรุ่น Urus[2] “การนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นที่ 4 ทำให้เราเดินหน้าสู่อนาคตโดยที่ยังไม่หลงลืม DNA ของเรา โดยรถคูเป้คันแรกจากลัมโบร์กินีที่มีเครื่องยนต์วางหน้าแบบ Gran Turismos แนวสปอร์ตที่หรูหราสง่างาม และเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันจะเป็นรถยนต์แบบ 2+2 ที่นั่ง ซึ่งแนวคิดการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ได้นำปรัชญารถซูเปอร์สปอร์ตของเรามาผสานกับเทคโนโลยีที่กล้าแกร่งรูปแบบใหม่ ตลอดจนงานดีไซน์ที่เด็ดเดี่ยว ซึ่งสอดรับกับกลยุทธ์ Direzione Cor Tauri ของเราได้อย่างลงตัว” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ อธิบาย

เทคโนโลยีสุดล้ำ – การขับขี่ระบบไฟฟ้า 100% ด้วยการกระจายแรงแบบแปรผัน

ลัมโบร์กินีนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์ที่ไม่ใช่แค่รถ Gran Turismo แบบดั้งเดิม แต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เหนือล้ำกว่ายนตรกรรมทั้งมวล มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ติดตั้งกับเพลาแต่ละตัว จะสร้างความมั่นใจถึงการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ได้ตลอดเวลาในทุกสภาวะ พื้นผิว และสไตล์การขับขี่ พร้อมให้กำลังไฟสูงสุดมากกว่าหนึ่งเมกะวัตต์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อยังมี active e-torque บนเพลาหลังเพื่อการเข้าโค้งที่เร้าใจแบบไดนามิก ซึ่งได้รับการปรับแต่งมาอย่างประณีตให้เหมาะสำหรับทุกสถานการณ์ พลังงานของตัวรถมาจากแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่เพื่อการันตีว่าจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกล “การใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับเรา ไม่ได้หมายถึงข้อจำกัด แต่เป็นโอกาสอันชาญฉลาดในการพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถในการขับขี่ให้สูงขึ้น” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว ดังนั้นในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์จึงไม่มีการลดประสิทธิภาพในแง่ของกำลังเครื่อง ความรื่นรมย์ในการเดินทาง และประสิทธิภาพการขับขี่ และนี่คือรถยนต์ลัมโบร์กินีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่นักขับสามารถใช้งานได้ทุกวันอย่างเพลิดเพลิน

อย่างไรก็ดี ไม่แค่เฉพาะส่วนฮาร์ดแวร์เท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดนิยามของรถยนต์ลัมโบร์กินีพลังไฟฟ้า 100% สมรรถนะสูงแห่งอนาคต แต่ยังรวมถึงซอฟต์แวร์และระบบควบคุมด้วยเช่นกัน “ลัมโบร์กินีพร้อมสร้างนิยามและความแตกต่างแห่งอนาคตให้กับตัวเอง ด้วยกลยุทธ์ระบบควบคุมแบบแอ็กทีฟที่สมบูรณ์แบบ เราได้ยกระดับระบบควบคุมการขับขี่ไดนามิกส์แบบบูรณาการของลัมโบร์กินีสู่มาตรฐานใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในการผลิตรถสปอร์ต เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบแนวใหม่ให้แก่ลูกค้าของเรา” มร.รูเว็น โมห์ อธิบาย “การหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างกำลัง สมรรถนะ ระยะทาง และอากาศพลศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการพัฒนา แต่ความท้าทายก็คือรากฐานสำคัญของศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ลัมโบร์กินีมาโดยตลอด”

พุ่งทะยานเต็มประสาทสัมผัส

นักขับสามารถปรับแต่งระบบทั้งหมดได้ในขณะขับขี่ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัยแบบสปอร์ต จึงควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวของรถได้อย่างฉับไวและสร้างสรรค์คาแรกเตอร์การขับขี่ได้ในแบบเฉพาะตัว

แฟกเตอร์การควบคุมทั้ง 3 ด้านที่มีความสำคัญมากสำหรับคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ รวมถึงรถยนต์ลัมโบร์กินีสมรรถนะสูงในอนาคต ได้แก่

  1. ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่

ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่ Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับลัมโบร์กินีทั้งในคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้และรถยนต์สมรรถนะสูงในอนาคต โดยเซ็นเซอร์และหัวฉีดจำนวนมากจะถูกนำมาผสานเข้ากับ LDVI ในอนาคต เพื่อสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ละเอียดและแม่นยำ รวมถึงนวัตกรรมขั้นสูงที่ไม่ใช่เฉพาะในส่วนฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัลกอริทึมการควบคุมซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเมื่อมีเซ็นเซอร์ป้อนข้อมูลไปยังระบบควบคุมมากขึ้น อัลกอริทึมก็จะสร้างความแตกต่างของสัมผัสในการขับขี่และการตอบสนองได้ละเอียดมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยจำแนกลักษณะการขับขี่ของผู้ขับแต่ละรายได้แม่นยำมากกว่าที่เคย โดยจะแสดงผลข้อมูลแก่นักขับผ่านเซ็นเซอร์อัจฉริยะซึ่งอยู่หลังแผงกระจก “นักบิน” รูปแบบใหม่ที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของรถ มอบความรู้สึกเสมือนเทคโนโลยีเรดาร์นำทางแห่งอนาคตเลยทีเดียว

  1. ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟ

ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในรถยนต์ไฟฟ้าพลังแบตเตอรี่มากกว่าในรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต เพราะจะช่วยเพิ่มระยะทางที่รถวิ่งได้ในการชาร์จไฟแบตเตอรี่แต่ละครั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการขับขี่ โดย Lanzador สามารถปรับค่าแรงกดที่แม่นยำเมื่อรถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงและสร้างแรงต้านอากาศต่ำสุดเมื่อรถทำความเร็วสูงสุดได้อย่างฉับไว เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์ โดยปรัชญาแห่งอนาคตของลัมโบร์กินีนั่นคือ “วิสัยทัศน์อากาศพลศาสตร์อัจฉริยะ” จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างชัดเจนในคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนการไหลของอากาศให้เข้ากับสถานการณ์การขับขี่แต่ละแบบ ตลอดจนตอบโจทย์สไตล์ของนักขับที่แตกต่างและระยะทางที่ต้องการในแต่ละทริป

ระบบอากาศพลศาสตร์อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินีรุ่นต่าง ๆ โดยได้รวมเอาระบบ ALA (Aerodinamica Lamborghini Attiva) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีในรุ่น Huracán Performante และ Aventador SVJ ร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์พลศาสตร์แบบใหม่ทั้งด้านหน้าและหลังเพื่อสร้างความมั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดของคอนเซ็ปต์คาร์เมื่อวิ่งในโหมด Urban และมอบแรงกดที่ดีที่สุดในโหมด Performance โดยวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในระบบ ALA ของลัมโบร์กินีซึ่งถูกใช้ในการพัฒนาดิฟฟิวเซอร์ ถือเป็นบทพิสูจน์แห่งการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท เพื่อมอบสุดยอดประสิทธิภาพแห่งการพุ่งทะยานและการเพิ่มระยะทางการขับขี่ให้ไกลที่สุด

ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟใช้ม่านอากาศด้านหน้าและสปลิตเตอร์แบบปรับได้ ซึ่งเมื่อเปิดทำงานจะช่วยเปิดท่อระบายความร้อนของเบรกและใบพัดระบายความร้อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเมื่อท่อ S-Duct ทำงานร่วมกับบานเกล็ดด้านในเพื่อการระบายอากาศในซุ้มล้อพร้อมกับม่านอากาศ ก็จะช่วยเพิ่มแรงกดได้มากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับโหมดที่ตั้งค่าไว้ว่าเป็นแบบ Efficient หรือ Downforce และด้วยการใช้ช่องระบายอากาศทำให้สามารถป้องกันแรงดันในซุ้มล้อจากการที่ส่วนหน้าของรถอาจยกตัวขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนบานเกล็ดด้านในยังช่วยสร้างแรงกดโดยไม่เพิ่มแรงฉุด สำหรับการใช้ล้อขนาด 23 นิ้ว นักออกแบบได้ผสานองค์ประกอบหกเหลี่ยมในใบพัดระบายอากาศเพื่อลดการผันผวนของกระแสลมบริเวณล้อ

สำหรับส่วนท้ายของรถ ใบพัดระบายอากาศจะสามารถขยายออกด้านข้างและออกจากส่วนดิฟฟิวเซอร์เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศร่วมกับสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ตั้งไว้ โดยในโหมด Efficient การไหลของอากาศจะปะทะกับตัวรถตลอดความยาวของตัวถังด้านนอก จนกระทั่งกระจายออกด้านหลังตามแนวลมที่กำหนดไว้ และระบบ ALA จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มแรงดันกลับคืนสู่ด้านหลัง ซึ่งจะช่วยลดแรงฉุดและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

  1. ระบบกันสะเทือนแบบแอ็กทีฟ

ด้วยการใช้โครงแชสซีแบบแอ็กทีฟ รวมถึงเพลาหลังแบบปรับได้และระบบถุงลมกันสะเทือน ทำให้ Lanzador สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของตัวเองให้สอดคล้องกับทุกสภาพถนนได้อย่างยอดเยี่ยม หรือทำงานตามรูปแบบที่นักขับตั้งค่าไว้ โดยสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้อย่างฉับไวระหว่างการเดินทาง ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัย

การกระจายแรงบิด

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้าแบบสองมอเตอร์ คือการกระจายแรงบิดที่แม่นยำเพื่อเพิ่มไดนามิกส์การขับขี่ โดยแนวคิดของลัมโบร์กินี ระบบควบคุมจะคอยคำนวณแรงบิดที่จำเป็นหรือที่ต้องการสำหรับเพลาแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็วในหน่วยเวลาเป็นมิลลิวินาที ซึ่งมอเตอร์ทั้งสองตัวจะจำแนกความแตกต่างและสนับสนุนการทำงานของเพลาหลังทั้งในด้านซ้ายและขวาอย่างเหมาะสม

ระบบควบคุมความเร็วล้อ

ด้วยการใช้ระบบควบคุมความเร็วล้อ ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถควบคุมกำลังและแรงกระทำกับแต่ละล้อได้อย่างละเอียดเพื่อการเลี้ยวเข้าที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการขับทางตรงและการใช้ความเร็วบนถนนที่คดเคี้ยว โดยยังสามารถใช้อัตราเร่งที่เร็วแรงเต็มสปีด

“การทำงานร่วมกันของระบบต่าง ๆ จะช่วยยกระดับการขับขี่ของคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สู่มาตรฐานใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับรถซูเปอร์สปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม และนี่คือรถยนต์กลุ่ม Ultra GT พลังไฟฟ้าที่ชาญฉลาดในระดับ Super-intelligent” มร.รูเว็น โมห์ กล่าว “ด้วยการติดตั้งโหมดการขับขี่แบบบูรณาการขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นใหม่ รวมถึงระบบควบคุมแบบแอ็กทีฟ ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถยกระดับความเพลิดเพลินและประสิทธิภาพในการขับขี่ ตลอดจนความปลอดภัยและการตอบสนองกับนักขับได้อย่างดีเยี่ยม”

“ผมมั่นใจว่าคอนเซ็ปต์คาร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในรถยนต์รุ่นนี้ สามารถสร้างความเชื่อมั่นไม่ใช่เฉพาะกับลูกค้าเดิม แต่ยังรวมถึงผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีอีกเป็นจำนวนมาก ให้ได้ทราบว่ารถยนต์ลัมโบร์กินีเจนเนอเรชั่นนี้กำลังจะสร้างตำนานบทใหม่ ทั้งในแง่เทคโนโลยี สมรรถนะ การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัล และไดนามิกส์การขับขี่แบบครบครัน” มร.รูเว็น โมห์ อธิบาย

ดีไซน์ยานยนต์ที่เหนือล้ำทุกความคาดหมาย

แบรนด์ลัมโบร์กินีคือ DNA แห่งการออกแบบอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง ผ่านการนำเส้นสายสุดไอคอนิกมาตีความเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางล้ำหน้าสู่อนาคต

การเปิดตัว Lanzador จึงแสดงให้เห็นว่าให้ลัมโบร์กินีกำลังเดินหน้าสู่อนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ได้มอบสัดส่วนใหม่และยังเป็นตัวแทนของรถยนต์กลุ่มใหม่ของแบรนด์นั่นคือ Ultra GT ซึ่งไม่เพียงเห็นได้จากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมภายใน ซึ่งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของลัมโบร์กินีทั้งในแง่ของพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารและบรรยากาศที่กว้างขวางสะดวกสบาย

การออกแบบคอนเซ็ปต์คาร์ GT นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน โดย มร.มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบของ Centro Stile ซึ่งทำงานให้กับลัมโบร์กินี อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบว่ามาจากรถซูเปอร์สปอร์ต หากต่อยอดไปสู่การวางตำแหน่งของนักขับอย่างเหมาะสม โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Huracan Sterrato[3]

การออกแบบภายนอกให้ความรู้สึกบึกบึนห้าวหาญและเหนือล้ำทุกความคาดหมาย ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายและสะอาดตาซึ่งถือเป็นแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง และยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นตำนานอย่าง Sesto Elemento, Murciélago และ Countach LPI 800-4 รูปลักษณ์ด้านข้างใช้เส้นสายที่เรียบง่ายในแบบฉบับลัมโบร์กินี ผสานกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวที่พัฒนาขึ้นสำหรับคอนเซ็ปต์คาร์โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบความลาดเอียงของห้องโดยสารอย่างชัดเจนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะเดียวกัน ดีไซน์ส่วนล่างของตัวรถยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันชาญฉลาด โดยผสานเข้ากับองค์ประกอบสุดล้ำที่ขยับได้ดังเช่นที่พบในรถซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีหลายรุ่น และด้วยความสูงสุดของหลังคาเพียง 1.5 เมตร ทำให้รถยนต์ Grand Turismo พลังไฟฟ้ารุ่นนี้โหลดต่ำเข้าใกล้พื้นถนนได้อย่างทรงพลัง มอบความประทับใจด้วยระดับการโหลดต่ำอย่างที่ไม่มีรุ่นใดเปรียบได้ ซึ่งเกิดจากรูปทรงที่พุ่งไปข้างหน้าของห้องโดยสารและเส้นสายไดนามิกที่คมชัดตลอดทั้งตัวรถ

ดีไซน์ห้องโดยสารสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ “Feel like a pilot’” ของลัมโบร์กินีอย่างโดดเด่น ผสานกับแนวคิดของอากาศยานผ่านแนวคิดรถยนต์ 2+2 GT แต่ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการใช้แนวคิดที่นั่ง 2+2 ในแบบฉบับไลฟ์สไตล์ ห้องโดยสารส่วนหลังยังสามารถใช้บรรทุกสัมภาระได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬาหรือกระเป๋าเดินทางทุกรูปแบบ

ช่องใส่สัมภาระถูกซ่อนไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าที่สั้นและลาดเอียง ส่วนประตูท้ายกระจกขนาดใหญ่สามารถเปิดออกกว้าง เบาะนั่งด้านหลังและช่องเก็บสัมภาระหลังที่ปรับได้ยังทำให้คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สามารถประยุกต์ใช้งานกับทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน

การออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ ของคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคตนี้เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัว อาทิ ดีไซน์ไฟหน้าที่เพรียวบางได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Countach LPI 800-4 ในขณะที่ไฟท้ายทรงหกเหลี่ยมรวมถึงรูปแบบแสงอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ถูกตกแต่งด้วยองค์ประกอบไฟ LED สามดวงบนตัวรถแต่ละด้าน นอกจากนี้ ดีไซน์ไฟรูปตัว Y และองค์ระกอบรูปหกเหลี่ยมซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการออกแบบรถยนต์ลัมโบร์กินีก็สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งตัวรถ รวมถึงไฟท้ายและห้องโดยสารภายในเช่นกัน

“Lamborghini Lanzador คือคอนเซ็ปต์คาร์ที่เปี่ยมด้วยแนวคิดที่มีวิสัยทัศน์และล้ำยุคที่สุดของเรา ณ วันนี้ พร้อมมอบรูปลักษณ์อันน่าทึ่งและความงามรูปโฉมใหม่อย่างแท้จริง” มร.มิตจา โบร์เคิร์ต กล่าว “สัดส่วนนี้ถือเป็นสิ่งใหม่และยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยศักยภาพในการสร้างกลุ่มรถยนต์ใหม่ในทุกรายละเอียด ทำให้ Lanzador นำเสนอสัดส่วนใหม่แห่งรถสปอร์ตโดยคนขับอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งชวนให้นึกถึงรุ่น Huracán Sterrato ที่ได้รับการออกแบบสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่สดใหม่ของลัมโบร์กินีในด้านการผสมผสานความยั่งยืนอย่างจริงจัง ผ่านการตกแต่งห้องโดยสารที่ให้พื้นที่มากขึ้นและการใช้วัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งทำให้ Lanzador เป็นคอนเซ็ปต์คาร์ที่ห้าวหาญและเหนือล้ำทุกความคาดหมาย แสดงถึงศักยภาพของรถยนต์ลัมโบร์กินีแห่งอนาคต พร้อมการออกแบบที่เร้าอารมณ์ให้เป็นต้นแบบแห่งสมรรถนะขั้นสูงในการสร้างสรรค์รถยนต์ Ultra GT ของแบรนด์อย่างแท้จริง”

ตำแหน่งนักขับในห้องโดยสารยังถูกกำหนดโดยแผงหน้าปัดที่เพรียวบางน้ำหนักเบา ซึ่งใช้องค์ประกอบการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น รูปตัว Y ขนาดใหญ่ในส่วนเชื่อมคอนโซลกลาง และด้วยคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวัน รวมกับประสิทธิภาพและตำแหน่งที่นั่งแบบรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ทำให้หัวหน้าฝ่ายออกแบบ มิตจา โบร์เคิร์ต  มีอิสระในการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศที่กว้างขวาง สะดวกสบายอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเกิดจากการใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบกับรถยนต์รุ่นนี้

ที่นั่งคนขับและข้างคนขับจะอยู่ระดับต่ำเหมือนกับในเครื่องบินเจ็ต คั่นด้วยคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อมุมมองกับแผงหน้าปัด ส่วนแผงควบคุมระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และฟังก์ชันดิจิทัลรุ่นใหม่ จะติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลางในระยะที่คนขับเอื้อมถึงตามตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์ ส่วนผู้โดยสารจะสามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอที่หดซ่อนได้อัตโนมัติ และเมื่อใช้ระบบการควบคุมแบบ Lamborghini ANIMA คนขับจะสามารถสลับโหมดการขับขี่แบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแบบ Efficiency และ Performance เพื่อให้ได้ไดนามิกส์การขับขี่ที่ดีที่สุดตามต้องการ

คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ทำสีด้วย Liquid color ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการเปิดตัวรถยนต์ในงาน Monterey Car Week ซึ่งเป็นสีใหม่ที่สวยงามทันสมัยในชื่อ Azzurro Abissale

แนวคิดวัสดุที่ยั่งยืน

สำหรับคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ นักออกแบบได้ถ่ายทอดปรัชญาในด้านวัสดุที่ยั่งยืนไปสู่การตกแต่งห้องโดยสารภายใน โดยเป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่โดยยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ สัมผัส คุณภาพและความทนทาน คอนเซ็ปต์คาร์นี้จึงแสดงถึงศักยภาพทางเทคนิคของแบรนด์ในปัจจุบัน และยกระดับลัมโบร์กินีไปสู่อีกขั้นของความยั่งยืน

งานตกแต่งภายในใช้วัสดุที่ยั่งยืนซึ่งผลิตในอิตาลีเกือบทั้งหมด บริเวณแผงหน้าปัด เบาะนั่ง และแผงประตู ได้รับการตกแต่งด้วยผ้าขนแกะเมอริโนคุณภาพสูง (จากบริษัทสัญชาติอิตาลีที่ผ่านมาตรฐาน B Certified) ส่วนด้ายย้อมสีทำจากวัสดุรีไซเคิล ทั้งไนลอน/พลาสติกรีไซเคิล รวมถึงวัสดุที่ไม่ใช่พลาสติกอีกหลายชนิด เช่น โฟมในส่วนเบาะนั่งแนวสปอร์ตทำจากเส้นใยรีไซเคิลซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีการพิมพ์ 3 มิติ แม้แต่เส้นใยคาร์บอนที่นำมาใช้ร่วมกันในหลายส่วน เช่นคอนโซลกลางและแผงประตู ก็ทำมาจากคาร์บอนแบบผลิตซ้ำซึ่งเป็นวัสดุคอมโพสิตสองชั้นแบบใหม่

วัสดุหนังฟอกที่ยั่งยืน

วัสดุหนังที่ยั่งยืนคือหนังที่ผ่านการฟอกด้วยน้ำพิเศษซึ่งผ่านกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ โดยเป็นน้ำจากการผลิตน้ำมันมะกอกและต้องได้รับการบำบัดในโรงบำบัดน้ำมาก่อน เนื่องจากมีความเป็นกรดสูง มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ และเป็นพิษต่อพืช อย่างไรก็ดี น้ำที่เหลือจากการผลิตน้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาใช้ซ้ำได้โดยผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อการผลิตสารฟอกหนัง ซึ่งกระบวนการฟอกหนังยังมีรูปแบบการทำงาน “ในแบบฉบับอิตาลี” เหมือนกับการผลิตน้ำมันมะกอกของอิตาลี

วัสดุผ้าขนแกะเมอริโน 100%

ลัมโบร์กินีใช้ขนแกะที่ได้จากแกะออสเตรเลียนเมอริโนแทนขนแกะสังเคราะห์ โดยในทุกๆ ปี แกะจะงอกขนขึ้นใหม่ ทำให้ขนแกะเป็นเส้นใยที่สร้างใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตในเชิงอุตสาหกรรมจากพลังงานฟอสซิลที่ไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยขนแกะจะมีการนำเข้ายุโรปปีละครั้งและขนส่งผ่านทางเรือ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกทางหนึ่ง สิ่งทอนี้ผลิตโดยบริษัทสิ่งทออิตาลีเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองระดับ B-corporation ผ้าขนแกะเมอริโนยังสามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ มีความนุ่มนวลและสัมผัสนุ่มสบาย

คาร์บอนผลิตซ้ำผ่านกระบวนการรีไซเคิล

เส้นใยคาร์บอนที่ผลิตซ้ำเป็นวิธีการใหม่สำหรับวัสดุคอมโพสิตที่พัฒนาโดยลัมโบร์กินี เพื่อให้สอดคล้องกับ DNA และข้อกำหนดด้านความยั่งยืน วิธีการขึ้นรูปใหม่จะกำหนดเป็นชั้นที่โชว์ความสวยงาม (ด้านที่มองเห็น) และชั้นใน (ชั้นโครงสร้าง) ตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพ โดยในชั้นโชว์ความสวยงาม เส้นใยหลายชนิดยังอยู่ขั้นตอนการพัฒนา ซึ่งจะมีทั้งเส้นใยธรรมชาติบางชนิดที่ถักทอเข้ากับเส้นใยคาร์บอน วิธีการนี้จะยังคงคุณสมบัติทางเทคนิคของคาร์บอนไว้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ลงด้วย สำหรับชั้นโครงสร้างด้านใน ลัมโบร์กินีกำลังทดลองกับวัสดุหลัก เช่น คาร์บอนรีไซเคิล ซึ่งประกอบด้วยแผ่นคาร์บอนรีไซเคิล หรืออีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้โฟมจากพลาสติก PET รีไซเคิล นอกจากนี้ ทั้งชั้นโชว์ความสวยงามและชั้นโครงสร้างจะถูกผสานรวมกับเรซินชีวภาพเพื่อยกระดับแนวทางที่ยั่งยืน วิธีการทำงานนี้มอบอิสระสูงสุดในการออกแบบและการปรับเปลี่ยน พร้อมกับการรักษาคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพทางเทคนิคที่ดีเยี่ยม

เส้นใยสังเคราะห์จากพลาสติกรีไซเคิล

ลัมโบร์กินีใช้เส้นด้ายสังเคราะห์ชนิดใหม่ในหลายองค์ประกอบของคอนซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลที่เก็บรวบรวมมาจากมหาสมุทร โดยนำมาฉีกเป็นฝอยละเอียด ล้าง ตากแห้ง บีบอัดด้วยแรงดันสูง และแปรรูปเป็นเส้นใยไนลอนบางๆ ในที่สุด เส้นด้ายเหล่านี้จะถูกรวมเป็นม้วนไนลอนขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกภายหลัง ข้อดีหลัก ๆ คือวัสดุนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เสมอและยังสามารถผ่านวงจรการผลิตซ้ำได้หลายรอบ นับเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรแบบพิเศษ ซึ่งหมายความว่าบริษัทสามารถผลิตส่วนประกอบได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับชิ้นส่วนพลาสติกที่ผลิตจากกระบวนการปิโตรเลียมแล้ว ชิ้นส่วนนี้ถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าถึง 80%

วัสดุโฟมจากกระบวนการพิมพ์ 3 มิติ

สิ่งสำคัญในการผลิตอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์ทรัพยากร ต้องอาศัยกระบวนการพิมพ์ 3 มิติแบบใหม่สำหรับชิ้นส่วนพลาสติก เช่น วัสดุโฟมในเบาะนั่งแนวสปอร์ต โดยวัสดุการพิมพ์แบบใหม่สำหรับกระบวนการ FDM (Fused Deposition Modelling) จะทำมาจากขยะรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติกใช้แล้ว ซึ่งนับเป็นวัสดุอเนกประสงค์และเป็นพลาสติกที่มีความเสถียร ไม่เป็นอันตราย และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเป็นวัสดุพื้นฐานสำหรับการทำโฟมรองนั่งที่ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ เนื่องจากมีความทนทานทั้งในเชิงเทคนิค ทนความร้อน และทนทานต่อสารเคมีได้ดี ทั้งยังสามารถใช้งานเพื่อความหรูหราและแทบมองไม่เห็นเมื่อถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าหุ้มเบาะ อีกทั้งยังเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้งหลังหมดอายุการใช้งาน โดยสัดส่วนของวัสดุที่นำกลับมารีไซเคิลได้จะอยู่ระหว่าง 45-100% ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของขยะ

โร้ดแมปการลดคาร์บอน “Direzione Cor Tauri” ของลัมโบร์กินี

ลัมโบร์กินีให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและหลีกเลี่ยงการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นเวลาหลายปี นับตั้งแต่ปี 2015 โรงงานที่ Sant’Agata Bolognese ซึ่งมีพื้นที่ 182,000 ตร.ม. ได้ดำเนินการในฐานะบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอนตามแผนงานการลดคาร์บอน “Direzione Cor Tauri” ที่ประกาศไว้ในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งระบุว่าบริษัทจะมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

“Cor Tauri” เป็นภาษาละตินแปลว่าหัวใจวัว ในขณะเดียวกันก็เป็นชื่อของดาวที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวราศีพฤษภ ซึ่งส่องแสงให้ลัมโบร์กินีมองเห็นหนทางสู่อนาคตแห่งพลังงานไฟฟ้าที่สดใส และยังคงเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของแบรนด์อีกด้วย “แผนการใช้พลังงานไฟฟ้าของลัมโบร์กินีคือการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจหลีกเลี่ยงเนื่องจากบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เราต้องการมีส่วนร่วมเยียวยาเรื่องนี้ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการที่เป็นรูปธรรมของเรา”  มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ กล่าวในงานเปิดตัว

ลัมโบร์กินีวางแผนที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2024 โดยบริษัททุ่มงบลงทุนกว่า 1.9 พันล้านยูโรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์อิตาลี โดยแนวคิดรถยนต์รุ่นที่ 4 ไม่ใช่แค่เครื่องสาธิตทางเทคนิคเท่านั้น แต่เป็น “ห้องปฏิบัติการติดล้อ” ที่ได้รับการปรับปรุงในแง่ของวัสดุที่ยั่งยืนอีกด้วย คอนเซ็ปต์คาร์เวอร์ชันผลิตจริงจะพร้อมมอบสุดยอดสมรรถนะตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป และจะก้าวสู่ระดับแถวหน้าของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ของแบรนด์อย่างสมบูรณ์ และพร้อมยกระดับการผลิตของลัมโบร์กินีที่สืบทอดมานานกว่า 60 ปี ไปสู่ทศวรรษใหม่

แนวคิดรถยนต์รุ่นที่ 4 ครอบคลุมทั้งการออกแบบ ประสิทธิภาพ และยังเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่าลัมโบร์กินีกำลังมุ่งหน้าไปทิศทางใดในอนาคต “สำหรับเรานั้น รถยนต์รุ่นที่ 4 ถือเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอในปัจจุบันที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง โดยป็นการเชื่อมโยงที่สมบูรณ์แบบระหว่างรุ่น Urus และรถซูเปอร์สปอร์ตรุ่นอื่น ๆ ของเรา” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ กล่าว รถยนต์รุ่นที่ 4 นี้จะช่วยให้ลัมโบร์กินีได้สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบในอนาคต ซึ่งผสานรถซูเปอร์สปอร์ตอันเร้าใจเข้ากับเครื่องยนต์ไฮบริด รวมถึงใน Urus รุ่นถัดไปที่จะใช้ระบบปลั๊กอินไฮบริดด้วยเช่นกัน

Lanzador ไม่ใช่แนวคิดของนักออกแบบหรือวิศวกร แต่เป็นการแสดงตัวอย่างที่เด่นชัดของรถยนต์รุ่นผลิตจริงที่ลัมโบร์กินีจะนำเสนอในปี 2028 ซึ่งรถยนต์รุ่นที่ 4 นี้จะดำเนินการผลิตในโรงงาน Sant’Agata Bolognese และเพื่อการผลิตที่สมบูรณ์แบบ ลัมโบร์กินีกำลังวางแผนขยายโรงงานและจ้างพนักงานเพิ่มเติมต่อไป

[1] รถยนต์รุ่นนี้ยังไม่เปิดจำหน่ายในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ Directive 1999/94/EC โดยอัตราการใช้พลังงานและการปล่อยไอเสียกำลังอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติ

[2] อัตราการใช้พลังงานและการปล่อยไอเสียของรุ่น Urus ทั้งหมด: Fuel consumption combined: 14,1-12,7 l/100km (WLTP); CO₂-emissions combined: 325-320 g/km (WLTP)

[3] อัตราการใช้พลังงานและการปล่อยไอเสียของรุ่น Huracán Sterrato; Fuel consumption combined: 14,9 l/100km (WLTP); CO2-emissions combined: 337 g/km (WLTP)