ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ อวดสมรรถนะ ในกิจกรรม ‘Unlimit Your Experience’
ความอเนกประสงค์ และระบบเทคโนโลยีเหนือชั้น
ฟอร์ด ประเทศไทย เชิญคณะสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมทดสอบขับรถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด สมบุกสมบันที่สุด และตอบสนองการใช้งานที่สุดในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นครั้งแรก บนเส้นทางภูเก็ต – พังงา – กระบี่ สัมผัสสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมทั้งบนถนนและแบบออฟโรด พร้อมระบบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัยที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานแบบอเนกประสงค์ รวมถึงความสามารถในการเชื่อมต่อการสื่อสารกับรถได้อย่างเหนือชั้นผ่านแอปพลิเคชัน ฟอร์ดพาส ยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ขับขี่ที่มองหารถเพื่อใช้ทั้งในการทำงาน เป็นรถสำหรับครอบครัว และการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน
กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Unlimit Your Experience’ สื่อถึงการเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ การก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ไปกับรถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค และรุ่นสปอร์ต เริ่มต้นด้วยการบรรยายข้อมูลผลิตภัณฑ์ การออกแบบ และเทคโนโลยีของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ โดยทีมวิศกรและนักออกแบบรถฟอร์ดจากประเทศออสเตรเลียและไทย รวมถึงการทดลองสตาร์ทรถจากระยะไกลด้วยแอปพลิเคชันฟอร์ดพาสก่อนออกเดินทาง
สื่อมวลชนได้ทดสอบการขับขี่บนทางหลวงที่มีทั้งทางตรงสลับโค้ง โดยสัมผัสได้ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ ความสบายภายในห้องโดยสารที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลเหมือนรถเก๋ง และเสถียรภาพในการขี่ที่เพิ่มขึ้น ด้วยฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้นของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รวมถึงการทดสอบเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อย่างระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering) ฟีเจอร์ใหม่ในฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่ช่วยให้การเดินทางปลอดภัยยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงที่ทรงประสิทธิภาพ โดยรุ่นไวลด์แทรค มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มีตัวเลือกทั้งแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และขับเคลื่อนสองล้อเป็นครั้งแรก มอบพละกำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที รุ่นสปอร์ต มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาทีและแรงบิด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที และยังเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ด เรนเจอร์ มีตัวเลือกรุ่นไวลด์แทรค 4×2 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มอบพละกำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที
เมื่อเดินทางมาถึง ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์’ (Ford Ranger Ville) สนามออฟโรดที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อทดสอบสมรรถนะและการเลือกใช้โหมดการขับขี่ที่ติดตั้งมาในรถฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นครั้งแรก สื่อมวลชนได้ประเดิมประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดสุดท้าทายในสถานีที่ 1 การพิชิตเนินชัน ‘Hill Maneuvering’ โดยใช้โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) คู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) รวมถึงทดสอบความโดดเด่นของสมรรถนะช่วงล่าง และการไต่ลงเนินชันด้วยระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ที่ช่วยปรับความดันเบรกอย่างต่อเนื่อง ลดการลื่นไหลและรักษาความเร็วให้คงที่เมื่อขับลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่จึงให้ความสนใจกับการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างเต็มที่และมีความมั่นใจมากขึ้น ด้วยมุมจากด้านหลัง 23 องศา (เพิ่มจาก 21 องศาในรุ่นก่อนหน้า) ด้วยฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้นของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องด้วยการขับผ่านแอ่งน้ำ ‘Water Wading’ แบบสบายๆ
ในสถานีที่ 2 ด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร โดยในสถานีที่ 1 และ 2 นี้ สื่อมวลชนได้ใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เพื่อช่วยมองอุปสรรคที่อยู่นอกตัวรถระหว่างการขับขี่ได้อย่างชัดเจน
สถานีที่ 3 สื่อมวลชนได้ใช้โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery Track) โดยระบบจะช่วยกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ไปยังทั้ง 4 ล้อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนถนนลื่นหรือพื้นถนนที่ไม่สม่ำเสมอ และยังได้สัมผัสถึงมุมมองในการขับขี่ในพื้นที่แคบที่ดีขึ้นด้วยการออกแบบดีไซน์ฝากระโปรงหน้าใหม่ที่ช่วยให้กะระยะในการผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เป็นตัวช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นด้านนอกรถให้ควบคุมทิศทางของพวงมาลัยและบังคับทิศทางของรถให้ผ่านอุปสรรคบนเส้นทางได้
สถานีที่ 4 ทางโคลน (Mud Track) เป็นการขับขี่ด้วยโหมดโคลน (Mud Mode) โดยใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) พร้อมโชว์การทำงานของระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) ที่ช่วยถ่ายเทกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ทำให้ผ่านเส้นทางโคลนหรือถนนลื่นๆ ไปได้อย่างง่ายดาย
เข้าสู่สถานีที่ 5 พื้นกรวด ‘Loose Surface’ ด้วยการปรับโหมดการขับขี่กลับสู่โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery mode) เพื่อทดสอบการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เป็นทางหินกรวด เพื่อกำลังของเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ขณะใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง
ในสถานีที่ 6 ขับขี่ลุยทางหิน ‘Rocky Terrain’ สื่อมวลชนใช้โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4L) และระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) เพื่อทดสอบแรงบิดของเครื่องยนต์ในรอบต่ำ และอัตราทดเกียร์ รวมถึงความสูงใต้ท้องรถและระบบช่วงล่างที่นุ่มนวล
ต่อด้วยการขับขี่บนสภาพเส้นทางที่เป็นพื้นทราย ‘Sand Track’ ในสถานีที่ 7 ด้วยการใช้โหมดทราย (Sand mode) สื่อมวลชนได้สัมผัสถึงระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว และการกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ทำให้รถผ่านอุปสรรค
ไปสู่สถานีที่ 8 ลุยทางออฟโรด (Off-Road Maneuvering) โดยใช้โหมดปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4H) ทดสอบการควบคุมพวงมาลัย การทรงตัวของรถ และความทรงพลังของเครื่องยนต์ แรงบิดและอัตราทดเกียร์อันชาญฉลาด โชว์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ออฟโรดโดยรวมที่ดีขึ้นด้วยมุมเงยที่ 30 องศา (เพิ่มจาก 28.5 องศาในรุ่นก่อนหน้า)
หลังจากเรียนรู้การใช้งานโหมดการขับขี่ออฟโรดในสถานีต่างๆ ณ ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์ สื่อมวลชนได้เดินทางไปทดสอบการขับขี่แบบออฟโรดกันต่อบนเส้นทางธรรมชาติสุดท้าทายและน่าจดจำ
นอกจากการทดสอบสมรรถนะในการขับขี่แล้ว สื่อมวลชนยังได้ร่วมสัมผัสความอเนกประสงค์ของรถยนต์ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ทั้งการเป็นรถยนต์คู่ใจสำหรับการทำงาน และการเป็นรถยนต์สำหรับครอบครัว ด้วยกระบะท้ายที่รองรับการจัดเรียงสิ่งของให้เป็นระเบียบในหลากหลายรูปแบบ (Cargo management system) บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายที่ทำให้การเข้าถึงท้ายกระบะเป็นเรื่องง่าย การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเชื่อมระบบไฟจากช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายเพื่อทำงานช่างหรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิสต์ต่างๆ การออกแบบพื้นที่เก็บของใต้ที่นั่งใหม่ เพิ่มพื้นที่เก็บของใต้เบาะหลังเพื่อความเป็นระเบียบ สามารถเก็บสัมภาระของทุกคนในครอบครัวได้โดยที่นั่งยังคงกว้างขวางนั่งสบาย รวมถึงห่วงยึดสัมภาระบนขอบกระบะท้ายที่ออกแบบมาเพื่อให้บรรทุกอุปกรณ์สันทนาการของทุกคนได้เวลาเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟบอร์ดของคุณพ่อ หรือจักรยานของคุณลูก
“กิจกรรมทดสอบขับในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อพิสูจน์ถึงความเป็นรถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด สมบุกสมบันที่สุด ตอบสนองการใช้งานได้ดีที่สุดในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ทีมวิศวกรและนักออกแบบของฟอร์ดทำงานร่วมกับลูกค้าทั่วโลกเพื่อสร้างสรรค์สุดยอดรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ให้เป็นรถคู่ใจที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งการทำงาน การเป็นรถของครอบครัว และเป็นเพื่อนเดินทางในวันพักผ่อน นอกจากนี้ ฟอร์ดยังเปิดตัว ‘ฟอร์ดพาส’ ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับรถฟอร์ด เรนเจอร์ของตนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อการสตาร์ทรถจากระยะไกล ปรับอุณภูมิรถก่อนเข้าสู่ห้องโดยสาร และแจ้งเตือนสถานภาพรถได้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการเชื่อมต่อการสื่อสารได้ตลอดเวลาเมื่ออยู่บนฟอร์ด เรนเจอร์ ผ่านระบบเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A” นางสาวกมลชนก ประเสริฐสม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ฟอร์ด ประเทศไทย และตลาดอาเซียน กล่าว
นอกจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่แล้ว ฟอร์ดยังมุ่งมั่นที่จะมอบการดูแลลูกค้าแบบ ‘พร้อมเสมอ (Always-On)’ ด้วยบริการและการดูแลลูกค้าทุกคนเปรียบเสมือนคนในครอบครัว ด้วยนวัตกรรมด้านบริการใหม่ๆ มากมายที่จะมีการเปิดตัวพร้อมการเริ่มจำหน่ายรถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้