“EQS 500 4MATIC AMG Premium”

ยนตรกรรมต้นแบบแห่งโลกอนาคตจากเมอร์เซเดส-เบนซ์

“Mercedes-Benz EQS 500 4MATIC AMG Premium” ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยแพลตฟอร์มของยานยนต์ไฟฟ้าในทุกรายละเอียด พร้อมเชื่อมต่อเข้าสู่โลกแห่งอนาคตตั้งแต่ก้าวแรกของการสัมผัส ทั้งการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม ดีไซน์ภายนอกและภายใน เทคโนโลยี นวัตกรรมที่ทันสมัย และสมรรถนะการขับขี่อันทรงพลัง ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถเป็นดั่งไอคอนิกของการขับขี่ยุคใหม่ ที่พร้อมจะเปลี่ยนทุกการขับขี่และการโดยสารให้ล้ำสมัยกว่าที่เคย

EV Performance

EQS 500 4MATIC AMG Premium มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมความจุของแบตเตอรี่ขนาด 108.4 kWh ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลถึง 702 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้ง

 Design Value

ความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครของ EQS 500 4MATIC AMG Premium คือการออกแบบที่เน้นเรื่องอากาศพลศาสตร์โดยเฉพาะแบบ One Bow Concept ภายใต้โครงสร้างตัวถังแบบ EVA2 (Electric Vehicle Architecture Generation 2) ซึ่งตัวถังนี้จะมีความโค้งมนลู่ลม สามารถวัดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานตามหลักแอโรไดนามิกได้ที่ 0.2 ถือเป็นรถยนต์ที่มีแรงต้านอากาศต่ำที่สุดในโลก น็น็นส่งผลให้มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง

Infotainment

สัมผัสประสบการณ์อันเหนือระดับด้วยระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ที่มาพร้อมการติดตั้งแผงหน้าจออัจฉริยะ MBUX Hyperscreen จำนวน 3 หน้าจอ รูปทรงโค้งมนที่ยาวต่อเนื่องกันกว่า 56 นิ้ว กินพื้นที่จากเสา A-pillar ฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง อันประกอบไปด้วยหน้าจอ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว 17.7 นิ้ว และ 12.3 นิ้ว ผสานการทำงานร่วมกับหน้าจอเพื่อความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สามารถควบคุมได้ด้วยระบบสัมผัสแบบ MBUX High-End Rear Seat ขนาด 11.6 นิ้ว จำนวน 2 จอ พร้อมเชื่อมต่อทุกการใช้งานและตอบโจทย์ทุกกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบ

ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังสามารถเปลี่ยนห้องโดยสารให้เป็นคอนเสิร์ตของศิลปินคนโปรดได้อย่างง่ายดายด้วยระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® 3D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูงจำนวน 15 ตัว กำลังขับ 710 วัตต์ มาพร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos ซึ่ง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นแบรนด์แรกที่ได้พาร์ทเนอร์กับ Apple และเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ใช้ระบบเสียง Spatial Audio with Dolby Atmos ในรถยนต์ ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ฟังเสียงอย่างคมชัดสมจริงราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์

นอกจากนี้ Ambient light กว่า 64 เฉดสี ในรถยนต์คันนี้ยังให้ความหรูหราและความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งช่วยเพิ่มสุนทรียภาพภายในห้องโดยสารโดยเฉพาะในเวลากลางคืนจะรู้สึกราวกับว่านั่งอยู่ในยานอวกาศ ทําให้การขับขี่และการโดยสารมีความล้ำสมัยและสนุกสนานยิ่งขึ้น

Safety Systems

เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ความสำคัญในทุกยุคสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีไฟหน้าที่จะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มทัศนวิสัยที่ดีให้แก่ผู้ขับขี่ โดยรถยนต์คันนี้มีการติดตั้งไฟหน้าความละเอียดสูง 1.3 ล้านพิกเซล ผสานเทคโนโลยีขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยแบบ DIGITAL LIGHT และเทคโนโลยี ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถส่องสว่างไกลถึง 600 เมตร มาพร้อมไฟท้ายเคลื่อนไหวแบบ Adaptive tail lights multi-level functionality ที่ชัดเจนในยามค่ำคืนแบบ 3D helix design รูปทรงหยดน้ำแนวนอน ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจและปลอดภัยในทุกเส้นทาง

อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) สามารถช่วยตรวจจับอาการของผู้ขับขี่ได้อย่างอัตโนมัติ ในกรณีที่คนขับไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น หลับในหรือหมดสติ ระบบจะส่งสัญญาณไฟกระพริบและส่งเสียงเตือนผู้ขับขี่ให้กลับมาประคองพวงมาลัย แต่หากยังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อย ๆ ชะลอรถจนกระทั่งหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ พร้อมเปิดไฟกะพริบฉุกเฉิน ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้