BRIDGESTONE ALENZA 001 ได้รับเลือกเป็นยางมาตรฐานติดรถยนต์ “ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV”
“BRIDGESTONE ALENZA 001 เหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี ENLITEN®”
บริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด เผยว่า ผลิตภัณฑ์ “BRIDGESTONE ALENZA 001 ออกแบบมาสำหรับรถยนต์พรีเมียมครอสส์โอเวอร์ มาพร้อมกับเทคโนโลยี ENLITEN” นวัตกรรมของการออกแบบยางรถยนต์จากบริดจสโตนซึ่งผสมผสานเทคโนโลยี ที่ล้ำสมัย ได้รับเลือกให้เป็นยางมาตรฐานติดรถยนต์เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่อย่างเหนือระดับสำหรับรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส “ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV” โดยได้เปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
BRIDGESTONE ALENZA 001 ช่วยยกระดับความรื่นรมย์ในการเดินทางด้วย 1) โครงสร้างแบบ Multi-Round Block (MRB) อีกระดับแห่งการควบคุม ด้วยนวัตกรรมที่เพิ่มหน้าสัมผัสระหว่างผิวยางและผิวถนนเพื่อสมรรถนะในการยึดเกาะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทั้งบนสภาพถนนแห้งและบนถนนเปียก เพื่อให้การเดินทางไปสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัย 2) Nano Pro-Tech™ อีกระดับแห่งเทคโนโลยี เอกสิทธิ์เฉพาะของบริดจสโตน สูตรเนื้อยางพิเศษที่มีซิลิกาคุณภาพสูงจึงทำให้ได้โมเลกุลยางที่แข็งแรง ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานจึงช่วยประหยัดน้ำมัน และเพิ่มความทนทานของยาง 3) Slit Silencer
อีกระดับแห่งสุนทรียภาพ ด้วยการออกแบบให้ร่องดอกยางมีความลึก และมีมุมองศาที่เหมาะสม ช่วยรีดอากาศออกจากร่องยางหลักเพื่อช่วยลดเสียงรบกวนในขณะขับขี่ และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี ENLITEN นวัตกรรมล้ำสมัยของการออกแบบยางรถยนต์จากบริดจสโตนจึงช่วยให้ยางมีน้ำหนักเบา
และมีความต้านทานการหมุนต่ำจึงช่วยประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่ลดทอนประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการขับขี่ รวมถึงยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพราะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ ซึ่งเมื่อผสานกับการทำงานของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงตอบโจทย์และยกระดับสมรรถนะการขับขี่เพื่อความปลอดภัยในทุกเส้นทางให้รถยนต์ ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV ได้อย่างลงตัว บริดจสโตนได้วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมจากเทคโนโลยี ENLITEN ว่าเป็นยางพรีเมียมสำหรับยุครถยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งบรรลุ Bridgestone E8 Commitment (พันธสัญญา E8 ของ บริดจสโตน) ด้าน Energy (พลังงาน) เพื่อสร้างสังคมแห่งการเดินทางที่เป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ BRIDGESTONE ALENZA 001 มาพร้อมกับเทคโนโลยี ENLITEN ขนาดขอบ 18 นิ้ว ได้รับการติดตั้งในรถยนต์ ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV
คุณสมบัติเด่นของรถยนต์ ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV สู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดดเด่นด้วยดีไซน์ เร้าใจกับสมรรถนะ ครบครันด้วยความสะดวกสบาย และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย จากอีกขั้นของการพัฒนา MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสาน 3 เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
- ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ พัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นแรก มาพร้อมกับ
ระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle ใหม่ ปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ตามการขับขี่และสภาพถนน ให้อัตราเร่งที่ดี และนุ่มนวล อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 4 KM/L - โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7-Drive Mode) โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่
ด้วยตนเองตามสภาพถนน หรือรูปแบบการใช้งานที่ต้องการเพื่อความปลอดภัยในทุกสภาพถนน - ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีจากรถแข่งแรลลี่คาร์ของมิตซูบิชิ สร้างสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้สามารถขับผ่านทางโค้งได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
- มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Mitsubishi Diamond Sense และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง อีกทั้งยังครบครันด้วยฟีเจอร์ความสะดวกสบายด้วยจอระบบทัชสกรีน ขนาด 3 นิ้ว และระบบเสียง Dynamic Sound Yamaha Premium ให้ความสนุกในทุกการเดินทาง
คุณซาโตชิ อุเมโอะ ผู้อำนวยการส่วนงานธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด กล่าวว่า “บริดจสโตนรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความเชื่อมั่นจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงอย่าง BRIDGESTONE ALENZA 001 เพื่อเติมเต็มประสบการณ์
การขับขี่ของลูกค้าด้วยความเหนือชั้นจากเทคโนโลยี ENLITEN รองรับกับสภาพการใช้งานที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยความมั่นใจและปลอดภัยของรถยนต์ ALL-NEW MITSUBISHI XFORCE HEV ได้อย่างลงตัว ในขณะเดียวกันยังมีส่วนร่วมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์เพื่อส่งต่อโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปในอนาคตอีกด้วย”