บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองความสำเร็จต่อเนื่องสองปีซ้อน
รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย เดินหน้าสู่ยนตรกรรมไฟฟ้า และการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าฉลองความสำเร็จต่อเนื่อง ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ 45.5% เพิ่มจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 44.6% และอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า MINI Electric เพิ่มขึ้นถึง 263% เมื่อเทียบปีต่อปี พร้อมเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่นมาครบทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้า
ปีแห่งความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทั้งในด้านตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม ด้านนวัตกรรม และด้านความพึงพอใจของลูกค้า
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามเป้าหมายด้วยการส่งมอบความพึงพอใจในการขับขี่ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และแนวคิดพลังแห่งทางเลือก (Power of Choice) ให้กับลูกค้า ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ขึ้นสูงสุดทั้งด้านการขายและการให้บริการ เราตระหนักดีว่าลูกค้าทุกคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจึงสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านโซลูชันส์ที่หลากหลาย เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดและความสุขให้แก่ลูกค้าตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางของพวกเขา สิ่งที่ทำให้เรามีความโดดเด่นและทำให้เป็นองค์กรเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือการที่เราผสานปรัชญาด้านนวัตกรรมที่มีมาอย่างยาวนานกับพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า เรายังสร้างสรรค์นวัตกรรมไปสู่การเปิดตัวเทคโนโลยีผู้ช่วยขับขี่อันล้ำสมัยในตลาดไทย ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ เราได้สร้างสรรค์อนาคตแห่งยนตรกรรมที่พร้อมทั้งดิจิทัลและมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยผสมผสานทั้งดีไซน์ พลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน เราพร้อมจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนแห่งอนาคต และมุ่งหมายที่จะจุดกระแสแนวทางแห่งการขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยานยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และโดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2565”
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ด้านการผลิต และคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืน
ด้าน มร. เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีแห่งประวัติการณ์ของการผลิตของเรา โดยจำนวนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ถูกผลิตไปทั้งหมด 33,428 คัน รวมการผลิตทั้งหมดกว่า 250,000 คัน นับตั้งแต่เปิดโรงงานการผลิตในปี พ.ศ. 2543 และเรายังคงสามารถปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต ให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับความต้องการแต่ละช่วง ซึ่งการผลิดรถยนต์นั้นได้เพิ่มขึ้นกว่า 17.8% รวมถึงการผลิตเพื่อการส่งออกได้เพิ่มขึ้น 11.6% เช่นกัน เรายังมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนภายใต้แนวคิดการกำจัดขยะโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม (zero-waste-to-landfill) โดยในด้านการผลิตนั้น เราสามารถลดปริมาณขยะในการผลิตแต่ละโมเดลได้ถึง 35.6% นำปริมาณของขยะสะสมไปรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 27,208 ตัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เรายังมุ่งมั่นในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) หรืองดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยมีการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซล่าเซลล์ในบางส่วนที่โรงงานระยอง และพลังงานบางส่วนมาจากเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า (grid) ซึ่งได้รับการรับรองเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับด้านการสนับสนุนบุคลากรรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program นั้น มีนักศึกษาทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในโครงการฯ และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษารวม 223 คน และในจำนวนนี้ ได้เข้าทำงานกับผู้จำหน่ายรวม 186 คน ในขณะที่โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีด้านแมคคาทรอนิกส์ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ซึ่งมอบทุนการศึกษาเต็มจำนวนและเบี้ยเลี้ยงตลอดระยะเวลาโครงการ มีนักศึกษาลงทะเบียน 102 คน และทำงานในโรงงานที่ระยอง 33 คน”
บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยเดินหน้าโครงการด้านดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อมอบประสบการณ์อันดีแก่ลูกค้า
มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “ถึงแม้ปีที่ผ่านมา เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด แต่ยอดสินเชื่อของธุรกิจใหม่นั้นเติบโตขึ้นถึง 13% โดยสองในสามของลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู ให้ความมั่นใจทำธุรกรรมกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสในปี 2564 ส่งผลให้ยอดรวมของสินเชื่อใหม่คิดเป็นมูลค่า 19,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตของบริษัทฯ ในขณะนี้เท่ากับ 52,000 ล้านบาท เราได้มองเห็นเทรนด์ของตลาดในเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจด้านผลิตภัณฑ์ที่การันตีมูลค่าในอนาคต (Guaranteed Future Value) ผ่านโปรแกรมทางการเงิน Freedom Choice ในการมอบทางเลือกและอิสระสูงสุด ซึ่งเติบโตขึ้นถึงสองเท่า และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กับการดำเนินงานอันยาวนานในประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่ายอันทรงเกียรติและพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ทางบริษัทฯ จึงมอบรางวัลพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมทำสัญญาทางการเงินกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสไปแล้ว รวมมูลค่า 2.6 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยังคงมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupe จำนวน 1 คัน รถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี จำนวน 1 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT จำนวน 1 คัน ที่เตรียมมอบในช่วงท้ายของแคมเปญในปีนี้อีกด้วยและนอกเหนือจากแคมเปญนี้ เรายังคงสนับสนุนแบรนด์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปทั้งหมดร่วมกับแคมเปญต่าง ๆ ที่ยังคงมีให้ลูกค้าทุกท่านอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเราทุกท่าน
ในปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยได้ให้สัญญาในเรื่องการส่งมอบเทคโนโลยีโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เช่น การมอบความสะดวกสบายด้วยการขอสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ให้เชื่อมต่อกับช่องทางการจองผ่านออนไลน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งนี้เส้นทางของการเพิ่มประสบการณ์แก่ลูกค้านั้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่ยังจะเพิ่มเติมต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ เช่น การบริการด้านไฟแนนซ์ อย่างเต็มรูปแบบ หรือ “MyBMW Finance” เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดการด้านไฟแนนซ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางแพลตฟอร์มในการตรวจสอบตัวตนด้วยระบบ เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์อันดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ด้านยอดจดทะเบียนของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในส่วนของรถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% ร่วมกับการขยาย ChargeNow ตามพื้นที่ต่างๆ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% และได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าทั้งในรูปแบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หลากหลายรุ่นให้แก่ผู้ขับขี่ในประเทศไทย และยังร่วมมือกับพันธมิตรในการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเปิดกว้างให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมติดตั้งหัวจ่าย ChargeNow ไปแล้วทั้งหมด 130 หัวจ่าย ใน 48 สถานีทั่วประเทศไทย นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมถึงสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่กรุงเทพฯ พร้อมติดตั้งหัวจ่ายทั้งสิ้น 183 หัวจ่าย ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้บริการ ChargeNow ได้อย่างสะดวกสบายภายใต้เครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมทั้งสิ้น 313 หัวจ่าย พร้อมทั้งมีการส่งมอบเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ Wallbox แก่ลูกค้าทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้นราว 2,000 เครื่อง
ทั้งนี้ จากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้ากว่า 300 หัวจ่าย ดังนั้น เมื่อรวมจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีให้บริการในโครงการ ChargeNow ผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู และพาร์ตเนอร์ทั้งหมด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิจะสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 600 หัวจ่าย นอกจากนั้น ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2565 นี้ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EVolt ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเพื่อใช้บริการสถานี ChargeNow
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำด้านความยั่งยืนตอบแทนคืนสู่สังคมไทย
เรื่องความยั่งยืนเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะสร้างความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว เฉกเช่นเดียวกับการสร้างความยั่งยืนภายในบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง โดยให้ทุกภาคส่วนในเครือมีส่วนร่วมในการคิดและสนับสนุนเรื่องความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและธรรมาภิบาล
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนสังคมไทยมากมาย เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการกับลูกค้าด้วยการสมทบเพิ่มจากเงินบริจาคของลูกค้าแต่ละรายในจำนวนเท่ากัน การจัดงานบีเอ็มดับเบิลยู กอล์ฟ คัพ 2564 ที่นำเงินค่าสมัครเข้าร่วมกิจกรรมไปสมทบกองทุนสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) ของมูลนิธิชัยพัฒนา มีการสนับสนุนเรื่องการตรวจ ATK เชิงรุกในเขตกรุงเทพมหานครร่วมกับทีมแพทย์ชนบท รวมถึงอาสาสมัครที่ดูแลเรื่องการส่งอาหารและยาสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อโควิดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ทางบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังได้จับมือกันเรื่องการให้บุคคลากรทางการแพทย์สามารถยืมใช้รถโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และการให้บุคคลทั่วไปเช่ารถผ่านแอพพลิเคชั่นคาร์แชร์ริ่ง HAUP ในราคาที่เหมาะสม ทางบริษัทฯ ยังเดินหน้าส่งต่อความช่วยเหลือในช่วงวิกฤติโควิด-19 ผ่านกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศล “We Care, We Share” ภายใต้มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ เพื่อสนับสนุนการจัดสร้างห้องระบบแลกเปลี่ยนอากาศแรงดันลบแบบสมบูรณ์ (True Negative Pressure) ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ โดยมูลนิธิชัยพัฒนา
นอกจากนี้ มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ ยังคงเดินหน้ากิจกรรมการบริจาคเครื่องกรองน้ำเข้าสู่ปีที่ 7 เพื่อช่วยเหลือและให้ความรู้คนในชุมชนให้มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค ขณะที่ทางโครงการได้มอบเครื่องกรองน้ำไปแล้วกว่า 7,018 เครื่องใน 95 ชุมชนทั่วประเทศ