9 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์

รถกระบะที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยทีมวิศวกรระดับโลก

ฟอร์ดเผย เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ รถกระบะที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยทีมวิศวกรระดับโลกที่ประจำการอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบัน ฟอร์ด เรนเจอร์ มีขายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และเป็นรถที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความทนทาน

ในขั้นตอนการพัฒนารถ ฟอร์ดได้ทดสอบเรนเจอร์ภายใต้สภาพอากาศและสภาพเส้นทางที่ท้าทายที่สุดในโลกหลายแห่ง ตั้งแต่พื้นที่ชนบทห่างไกลในออสเตรเลีย ไปจนถึงเส้นทางขรุขระในแอฟริกาใต้ พื้นที่หนาวจัดเต็มไปด้วยน้ำแข็งในสแกนดิเนเวีย เส้นทางคดเคี้ยวและสูงชันรายล้อมด้วยภูเขาในทวีปอเมริกา และเส้นทางในป่าร้อนชื้นของเอเชีย ภายใต้อุณหภูมิตั้งแต่ ลบ 40 องศาเซลเซียส ถึงกว่า 50 องศาเซลเซียส

ฟอร์ด เรนเจอร์ นับเป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างแท้จริง และมีการผลิตในศูนย์กลางการผลิตของฟอร์ดถึง แห่งทั่วโลก ได้แก่ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) และโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ในจังหวัดระยอง โรงงานซิลเวอร์ตัน ในแอฟริกาใต้ โรงงานประกอบรถยนต์ในรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา และโรงงานประกอบรถยนต์ที่เมืองปาเชโก ประเทศอาร์เจนตินา นอกจากนี้ ยังมีโรงงานประกอบรถยนต์แบบ Completely Knocked Down หรือ CKD ในเวียดนามและกัมพูชาอีกด้วย

และนี่คือ 9 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์

  1. ทุกๆ 2 นาทีจะมีรถฟอร์ด เรนเจอร์ ออกมาจากสายพานการผลิตในโรงงานฟอร์ดที่ซิลเวอร์ตัน แอฟริกาใต้ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย และออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที)
  2. รถฟอร์ด เรนเจอร์ แต่ละคันมีจุดเชื่อมชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันประมาณ 3,000 – 4,000 ตำแหน่ง จึงต้องผ่านกระบวนการเคลือบกันสนิมด้วยการจุ่มลงในอ่างเคมีต่างๆ ถึง 12 ครั้งก่อนพ่นสี
  3. รถฟอร์ด เรนเจอร์ ทุกคันผ่านการพ่นสีที่มีน้ำหนักประมาณ 8 ลิตรโดยใช้เทคโนโลยี 3-Wet High Solids Paint system ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอันทันสมัยของฟอร์ดที่สามารถพ่นสีทับกัน 3 ชั้น ประกอบด้วยสีรองพื้น (3 ลิตร) ชั้นสีจริง (3 ลิตร) และเคลือบผิวรถ (2 ลิตร) ทับกันได้ในขณะที่สีแต่ละชั้นยังเปียกอยู่
  4. กระบวนการพ่นสีแบบ 3-Wet ที่ใช้ในโรงงานซิลเวอร์ตันและโรงงานเอฟทีเอ็ม ช่วยรักษาคุณภาพสีของรถฟอร์ดเอาไว้ให้ทนทาน ป้องกันการกะเทาะและรอยขีดข่วนต่างๆ ทั้งยังช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) ด้วยการลดพื้นที่ทำงานที่ใช้ในการพ่นสีและลดปริมาณการล้างทำความสะอาดสี รวมถึงลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากห้องอบพ่นสีรถยนต์อีกด้วย
  5. หลังจากกระบวนการพ่นสี รถฟอร์ด เรนเจอร์ แต่ละคันจะผ่านเครื่องสแกนขั้นสูงซึ่งทำหน้าที่เสมือนดวงตาอิเล็กทรอนิกส์คอยตรวจจับความผิดปกติของการพ่นสีในระดับที่เล็กถึง 0.2 ตารางมิลลิเมตรซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารูเข็ม
  6. รถฟอร์ด เรนเจอร์ แต่ละคันมีอะไหล่มากกว่า 2,700 ชิ้น รถทุกๆ คันจึงต้องผ่านการทดสอบเพื่อยืนยันคุณภาพรถเกือบ 1,000 รายการ ก่อนส่งไปยังผู้จำหน่ายฟอร์ด นอกจากนี้ รถยังต้องผ่านการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์ถึง 300 ครั้งโดยช่างเทคนิค และการทดสอบกระแสไฟฟ้าอีก 35 ครั้ง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านคุณภาพการผลิตที่เข้มงวดของฟอร์ด
  7. หนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการทดสอบคุณภาพรถ คือการทดสอบด้วยน้ำ ซึ่งรถฟอร์ด เรนเจอร์ทุกคันจะถูกฉีดน้ำแรงดันสูงทุกทิศทาง เพื่อจำลองสถานการณ์พายุฝนกระหน่ำแบบที่รุนแรงที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ หลังจากปิดพลังน้ำแรงดันสูงแล้ว ทีมงานจะต้องตรวจสอบทุกรายละเอียด เริ่มจากการตรวจด้วยสายตาเพื่อให้แน่ใจว่ากรอบไฟหน้า ไฟท้าย และไฟตัดหมอก ไม่มีน้ำรั่วซึมเข้าไป นอกจากนี้ น้ำที่ใช้ในการทดสอบจะไม่ถูกปล่อยทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะถูกระบายลงพื้นและเข้าสู่กระบวนการเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำในการทดสอบครั้งต่อไป  จากนั้นทีมงานจึงเปิดประตูรถทุกบาน และตรวจเช็คขอบยางว่ามีน้ำซึมเข้าไปหรือไม่ และจะใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าพรมในห้องโดยสารแห้งสนิท โดยเครื่องมือนี้จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบความชื้น
  8. เมื่อการทดสอบคุณภาพในขั้นตอนการผลิตเสร็จสิ้นลง รถฟอร์ด เรนเจอร์ แต่ละคันยังต้องผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายด้วยการขับผ่านอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมด 3 รูปแบบ ก่อนส่งไปยังผู้จำหน่ายทั่วโลก ซึ่งการทดสอบอุปสรรคนี้ประกอบด้วย การทดสอบเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน การทดสอบความเร็วสูง และการทดสอบบนถนนขรุขระ โดยรถฟอร์ดแต่ละคันจะต้องผ่านการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบหนึ่งรอบก่อนจึงได้รับอนุมัติให้วางจำหน่ายได้
  9. เพื่อให้แน่ใจว่าศูนย์ล้อและพวงมาลัยตั้งตรง รวมถึงไฟหน้าส่องแสงได้ในมุมและระยะที่ต้องการ รถรุ่นย่อยทุกรุ่นในไลน์อัพของฟอร์ด เรนเจอร์ ที่วางจำหน่ายในทุกประเทศที่ออกจากสายการผลิตทุกวันจะถูกตรวจสอบด้วยการใช้เลเซอร์และกล้องหลายตัวตรวจสอบการวางตำแหน่งของล้อและไฟหน้า จากนั้นจึงส่งรถไปยังสนามทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่าพวงมาลัยของรถตั้งตรงตามค่าที่กำหนด และรถขับเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง