มิชลิน เปิดตัว ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’
นวัตกรรมล้ำหน้าครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมตลาดยางล้อเครื่องบิน
มิชลินเปิดตัวยางล้อเครื่องบิน ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยียางเรเดียลรุ่นใหม่สำหรับการบินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของโลก ในงานมหกรรมแสดงสินค้าด้านอากาศยานระดับโลก ‘ปารีส แอร์ โชว์’ (Paris Air Show) ครั้งที่ 54 ยางล้อเครื่องบินรุ่นนี้มีน้ำหนักเบากว่ายางรุ่นก่อนหน้า 10-20% น้ำหนักที่ลดลงส่งผลให้ยางล้อมีศักยภาพรองรับการบินลงจอดได้หลายครั้งมากขึ้น (Landing Per Tread: LPT) ทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการขนส่งและการบำรุงรักษา โดยยาง ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ มีอายุใช้งานยาวนานกว่ายางล้อประเภทเดียวกันรุ่นก่อนหน้า 15-20%
ยางล้อรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคขนส่งทางอากาศ
น้ำหนักเป็นข้อจำกัดที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับอากาศยานทุกรูปแบบ ทุกกิโลกรัมจึงมีความหมายไม่ว่าจะติดตั้งยาง ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ กับเครื่องบินแห่งอนาคตหรือเครื่องบินที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน น้ำหนักตัวเครื่องที่ลดลงจะส่งผลต่อการประหยัดเชื้อเพลิงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อติดตั้งกับเครื่องบินลำตัวแคบ (Narrow-Body Aircraft) อาทิ ‘แอร์บัส เอ320’ (Airbus A320) หรือ ‘โบอิ้ง 737’ (Boeing 737) น้ำหนักซึ่งล้อหลัก (Main Gear) ต้องรองรับอาจลดลงได้ถึง 75 กิโลกรัม ขณะที่เมื่อติดตั้งกับเครื่องบินลำตัวกว้าง (Wide-Body Aircraft) อาทิ ‘แอร์บัส เอ350’ (Airbus A350) หรือ ‘โบอิ้ง 777’ (Boeing 777) น้ำหนักซึ่งล้อหลักต้องรองรับอาจลดลงได้ถึง 250 กิโลกรัม ดังนั้น สำหรับฝูงบินที่ประกอบด้วยเครื่องบินที่มีพิสัยบินระยะไกล 40 ลำ น้ำหนักยางล้อที่ลดลงเพียงอย่างเดียวสามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงเครื่องบินเจ็ทได้สูงถึง 900,000 เหรียญสหรัฐต่อปี (กว่า 31 ล้านบาท) อีกทั้งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 3,400 เมตริกตัน สำหรับฝูงบินที่ประกอบด้วยเครื่องบินที่มีพิสัยบินระยะกลาง 100 ลำ จะสามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงเครื่องบินเจ็ทได้สูงถึง 600,000 เหรียญสหรัฐต่อปี (กว่า 21 ล้านบาท) โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 2,200 เมตริกตันภายในหนึ่งปี
มิชลินเริ่มออกแบบยางล้อเครื่องบิน ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ ด้วยการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ยางล้อ (Life Cycle Assessment) ตามมาตรฐานอย่างเต็มรูปแบบ ขั้นตอนนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำหนักเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด (90-98%) โดยจะเกิดผลกระทบในระยะของการใช้งาน การที่เครื่องบินต้องแบกรับน้ำหนักยางล้อที่ระดับความสูงมากส่งผลให้ใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากตามไปด้วย ยางล้อเครื่องบินของชุดล้อลงจอด (Landing Gear) อาจมีน้ำหนักได้ตั้งแต่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ไปจนถึงมากกว่า 2,000 กิโลกรัม การลดน้ำหนักยางล้อจึงถือเป็นเรื่องท้าทายประการสำคัญ
‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’: ยางล้อเครื่องบินที่เกิดจากการผสานนวัตกรรมล้ำหน้าหลายด้านเข้าด้วยกัน
‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ เป็นผลิตภัณฑ์ยางล้อเครื่องบินที่เกิดจากการผสานนวัตกรรมล้ำหน้าหลายด้านเข้าด้วยกัน ทั้งในเชิงสถาปัตยกรรมยางล้อ, วัสดุที่เลือกใช้ และขั้นตอนการผลิต
สถาปัตยกรรมหน้ายาง (Crown Architecture) และหน้าสัมผัสของดอกยางที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยยืดอายุการใช้งานยางล้อเพิ่มขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับยางรุ่นก่อนหน้า
สมรรถนะยางล้อดังกล่าวเป็นผลมาจากการเลือกใช้วัสดุโครงยางที่มีความทนทานสูงเป็นพิเศษ รวมทั้งวัสดุไฮบริดจากเคเบิลและสิ่งทอรุ่นล่าสุด อีกทั้งการนำวัสดุที่มีความยั่งยืนมากขึ้นมาใช้ในการผลิตเพิ่มขึ้นยังสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มมิชลินที่มุ่งผลิตยางล้อจากวัสดุที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2593
นอกจากนี้ ในเชิงอุตสาหกรรม ยังมีการนำนวัตกรรมกระบวนการผลิตแบบใหม่มาใช้ในโรงงานของมิชลินที่เมืองบูร์ฌ (Bourges) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงงานที่มุ่งตอบสนองกิจกรรมการดำเนินงานด้านการบินของกลุ่มมิชลินโดยเฉพาะ
ที่สำคัญ ยางล้อเครื่องบิน ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ ยังสามารถติดตั้งเพื่อใช้งานบนระบบเครือข่ายเชื่อมต่อ PresSense ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างมิชลินและ Safran บริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจในตลาดการขับเคลื่อนและอุปกรณ์อากาศยาน
ยางล้อที่เปิดตัวด้วยการติดตั้งกับเครื่องบินเจ็ทแห่งอนาคต Dassault Falcon 10X สะท้อนการรุกขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางล้อสำหรับการบินเชิงพาณิชย์ของมิชลิน
ยางล้อขนาดแรกที่เปิดตัวได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ติดตั้งกับเครื่องบินเจ็ทแห่งอนาคต Falcon 10X ของบริษัท Dassault Aviation โดยจะดำเนินการทดสอบใช้งานขณะทำการบินในช่วงหลายเดือนข้างหน้าตามตารางการบินที่กำหนดโดย Dassault Aviation
ยางล้อเครื่องบิน ‘มิชลิน แอร์ เอ็กซ์ สกาย ไลท์’ มีเป้าหมายในการทำตลาดเจาะกลุ่มการบินเชิงพาณิชย์ โดยยางล้อขนาดถัดไปจะพัฒนาขึ้นตามความต้องการของสายการบินและผู้ผลิตเครื่องบิน การพัฒนายางล้อขนาดใหม่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของกระบวนการทดสอบเพื่อยืนยันว่าสินค้าเหมาะกับการใช้งานในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้อย่างปลอดภัย (Homologation) และกฎระเบียบเกี่ยวกับใบรับรอง
ยางล้อขนาดถัดไปอาจใช้ติดตั้งกับเครื่องบินรุ่นใหม่ หรือเครื่องบินที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันตามข้อตกลงเรื่องการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ (Retrofit Agreement) ภายใต้ความร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องบิน สายการบิน และหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้านการบิน
อนึ่ง มิชลินมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปี ในการให้บริการแก่อุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคและอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์ระดับโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ยางล้อทั้งแบบผ้าใบและแบบเรเดียล ตลอดจนยางในให้กับลูกค้าทั่วโลกสำหรับการนำไปใช้งานหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ สายการบินเชิงพาณิชย์และสายการบินในภูมิภาค, การบินทั่วไป และการบินทางทหาร ทั้งนี้ มิชลินเป็นพันธมิตรกับบริษัทและผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดของโลก อาทิ Airbus (แอร์บัส), Boeing (โบอิ้ง), Bombardier (บอมบาร์ดิเอร์), Comac (โคแม็ค), Dassault (ดัซโซลท์), Embraer (เอ็มเบรเออร์), Gulfstream (กัลฟ์สตรีม), Hondajet (ฮอนด้าเจ็ท), Lockheed Martin (ล็อกฮีด มาร์ติน), Pilatus (ปิลาตุส) และ Textron (เท็กซ์ตรอน)