บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คว้าแชมป์ผู้นำตลาดในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมไทยต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน
บีเอ็มดับเบิลยูและมินิสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดจดทะเบียนรวม 15,477 คันในปี พ.ศ. 2566 เติบโต 3% จากปีก่อนหน้า
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จอีกครั้งด้วยผลการดำเนินงานในภาพรวมประจำปี พ.ศ. 2566 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมยอดจดทะเบียนที่แข็งแกร่งทั้งในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและกลุ่ม Luxury Class ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมที่ยั่งยืน ด้วยการลงทุนในนวัตกรรมยานยนต์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัยให้แก่ลูกค้าชาวไทย พร้อมนำเสนอการบริการที่เหนือระดับและการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ โดยรถยนต์ทั้งสองแบรนด์มียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 15,477 คัน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 14,128 คัน และมินิ 1,349 คัน
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวถึงผลงานความสำเร็จในปี พ.ศ. 2566 ว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งมั่นในการผลักดันนวัตกรรมความเป็นเลิศทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความพยายามดังกล่าวสะท้อนออกมาให้เห็นเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากลูกค้าในประเทศไทยซึ่งยังคงให้ความไว้วางใจกับแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในปีที่ผ่านมา เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากความสำเร็จที่พนักงานและผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอย่างเป็นทางการทุกคนต่างมีส่วนช่วยให้เรายังครองตำแหน่งผู้นำในเซ็กเมนต์รถยนต์พรีเมียมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2566 นอกจากนี้ เป้าหมายการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืนของเราก็ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยูยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในไทย ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า และการก้าวสู่อนาคตของยานยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น”
“กลุ่มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่เพิ่มขึ้นสองเท่า (200%) จากปี พ.ศ. 2565 ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งหมด ที่ 1,604 คัน จากรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 6 รุ่น ที่เปิดตัวในตลาดประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i5, บีเอ็มดับเบิลยู i7 และมินิ คูเปอร์ เอสอี ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์ในกลุ่ม Luxury Class ของบีเอ็มดับเบิลยู ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู i7, บีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 8, บีเอ็มดับเบิลยู X7 และบีเอ็มดับเบิลยู XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 ทั้งหมด 668 คัน เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิมียอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 รวมทั้งหมด 15,477 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 14,128 คัน และมินิ 1,349 คัน ส่งผลให้เรายังคงครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งมาเป็นปีที่สี่ติดต่อกันในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียม ในขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ยังคงรักษาผลงานที่แข็งแกร่งด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 รวมทั้งหมด 1,079 คัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าในประเทศไทยที่ยังคงไว้วางใจและเลือกให้เราเคียงข้างในทุกการเดินทาง”
“การครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย 4 ปีซ้อน ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการตอบโจทย์ลูกค้าและความทุ่มเทของพนักงาน ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และพันธมิตรทุกรายในประเทศไทยของบีเอ็มดับเบิลยู ที่ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้า ช่วยเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ดังจะเห็นได้จากรางวัลมากมายจากสื่อชั้นนำที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมทั้งในด้านการบริหารจัดการ ผลิตภัณฑ์ และการบริการ ได้แก่ รางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 6 จากนิตยสาร BrandAge, รางวัล Thailand Top Company Awards 2023 ในหมวด Best Customer Focus Award จากนิตยสาร Business+, รางวัล Car and bike of the Year 2023 รวม 14 รางวัล จากบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรางวัล The Best of Luxury Electric Vehicle สำหรับรถบีเอ็มดับเบิลยู i7 จากนิตยสาร Robb Report ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูจะยังคงมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศต่อไปในทุกผลิตภัณฑ์และบริการของเรา เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” มร. บารากา กล่าว
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2566 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระดับโลก ด้วยยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5% โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4% จากปี พ.ศ. 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน สะท้อนถึงความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตอบรับเทรนด์พลังงานสะอาดที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ซึ่งทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มองว่าเทรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในหมู่ผู้ใช้งานจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี พ.ศ. 2567 นี้ ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่โดดเด่นในปี พ.ศ. 2566 ตอกย้ำบทบาทของบริษัทในฐานะผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงมุ่งก้าวไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและมีความยั่งยืนต่อไปในปี พ.ศ. 2567 ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมของไทยเป็นปีที่ 4 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพ นวัตกรรมการออกแบบ และการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งกว่าใครของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมทั้งตอกย้ำเป้าหมายในระยะยาวของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งมอบสุนทรียะแห่งการขับขี่ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคต